Thursday, October 11, 2012

รายการปั้นฝัน

วันนี้ได้มีโอกาสเข้าไปอยู่ในบรรยากาศการอัดรายการ "ปั้นฝัน" ของ Eduzones ซึ่งจะเป็นรายการวิทยุที่แนะนำเกี่ยวกับการเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย และมีการอัดวีดีโอเพื่อนำไปเผยแพร่ต่อด้วย คราวนี้เกือบจะได้เป็นตัวแทนของภาควิชาไปให้สัมภาษณ์แล้ว แต่ว่าพอคุยกันแล้วคิดว่าเป็นเพื่อนอีกคนหนึ่งจะเหมาะสมกว่า เลยไปเป็นเพื่อนเพื่อนแทน ^ ^

เป็นครั้งแรกที่เคยเข้าห้องอัดเลยอยากจะมาแชร์สิ่งที่ต้องเตรียมตัวและบรรยากาศในการให้สัมภาษณ์ของนิสิตที่ต้องไปพูดถึงเรื่องการเรียน รวมไปถึงการเป็นนักเรียนที่จะเข้ามาฟังเสียหน่อย

บรรยากาศในการอัดรายการในครั้งนี้ เริ่มตั้งแต่ประมาณ 9.30 น. ที่ RAC สาขา ม.เกษตร เป็นไปอย่างง่ายมากๆ ในห้องเล็กๆ มีกล้องโซนี 1 ตัว และไมค์ดีๆ 1 อันเท่านั้น และถึงแม้จะมีการอัดวิดีโอ แต่ก็ไม่ได้มีช่างแต่งหน้าแต่อย่างใด เอาเป็นว่าใครอยากสวยอยากหล่อก็ต้องโบ๊ะกันมาเองละจ้า สามารถรับชมวีดีโอรายการดีๆแบบนี้ได้จากหลายทางนะ ทางหนึ่งคือ YouTube ใน Channel ที่ชือว่า Eduzones Webmaster

พิธีกรผู้ดำเนินรายการมีสองท่าน เป็นพี่ผู้ชายและพี่ผู้หญิง การอัดรายการแบบนี้ก็ต้องพูดสียงดังฟังชัดกันหน่อย อัดรวดเดียวไม่มีคัทอะไร แต่สำคัญที่ว่าทักษะการพูดนั้นนอกจากว่าจะดีแล้ว ยังตัองรับส่งกันได้ดีอีกด้วย

สำหรับนิสิตที่จะต้องไปให้สัมภาษณ์นั้น สิ่งที่ต้องเตรียมก็คือ

  1. หน้า เตรียมหน้าให้พร้อมจ้า 55 ต่อมา 
  2. เตรียมข้อมูล ข้อมูลที่จะต้องพูด อันนี้น้องๆที่ฟังก็ต้องบอกว่าไม่จำเป็นต้องเชื่อทั้งหมด คนที่พูดก็เป็นนิสิต ไม่ได้เป็นอาจารย์ที่ดูแลเรื่องของการรับเข้าศึกษาต่อโดยตรง ทางที่ดีคือควรจะเช็คกฏกติกาเองกับเว็บไซต์อยู่ดีเพราะว่ากฏการรับเข้าก็ยังไม่ค่อยนิ่ง เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาทุกปี (สำหรับคณะวิศวะ ม.เกษตร เข้าไปดูรายละเอียดได้ที่นี่เลย http://admission.eng.ku.ac.th/
  3. เอกสารยืนยันการรับเงินต่างๆตามที่รายการแจ้งมา 


ส่วนเรื่องว่าเราจะพูดอะไรนั้น ทางรายการไม่ได้มีคำถามมาให้ก่อน ถามสดตอบสดเลย เพราะฉะนั้นต้องมีไหวพริบดีกันหน่อย ที่สำคัญคือ ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก ว่าคนฟังเป็นใคร เขาต้องการอะไรจากเรา


การมีรายการประเภทนี้ก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ผู้ฟังก็ต้องระมัดระวังในการฟัง เพราะการสื่อสารนั้นก็บิดเบือนและถูกตีความได้หลากหลาย บางทีการฟังความเห็นส่วนตัวของบุคคลอื่น ก็ทำให้คนฟังอาจจะเปลี่ยนทิศการตัดสินใจไปได้ง่ายๆ ยกตัวอย่างที่เจอมากับตัวเอง วันนี้ได้ไปเข้าห้องอัดรายการที่บอกถึงการเข้าเรียนในคณะวิศวะฯ สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ พิธีกรถามว่า คุณสมบัติของผู้ที่เหมาะกับการเรียนภาคนี้คืออะไร ตอบว่าควรจะมีความใฝ่รู้ในเรื่องของข่าวสารเทคโนโลยี ซึ่งเป็นคำตอบที่จริงมาก ถูกต้องมากๆ แต่ฟังแล้วย้อนกลับมาคิดถึงตัวเองว่า ถ้าตอนที่เราเองจะเลือกเข้าเรียนสาขานี้ ตอนที่อยู่ม.ปลาย ถ้าได้มาฟังเทปนี้ คงจะตัดคณะนี้ออกจากตัวเลือกไปเลย เพราะว่าไม่ได้เป็นคนที่รู้เรื่องหรือว่าตามข่าวสารเรื่องไอทีอะไรเลย แต่ว่าก็ยังสามารถเข้ามาได้ สามารถเรียนได้ เรียนรู้เรื่อง เข้าใจได้ อยู่ในสังคมของภาควิชาได้อย่างมีความสุข ถามว่าแล้วถ้าแบบนั้นคำตอบนี้จะจริงได้อย่างไร คำตอบคือว่า ตอนนั้นไม่ได้สนใจจะติดตามข่าวสาร แต่ว่าเข้ามาแล้ว ทุกอย่างมันก็สนับสนุนให้เรารู้ตัวเองว่าเราต้องอ่านข่าวไอทีนะ เราต้องตามเทคโนโลยีนะ เราถึงจะอยู่ในฟิลนี้ได้ แต่ถามว่าเด็กม.ปลายที่จะเข้าเรียนภาคนี้ต้องตามข่าวไอทีทุกคนเหรอ จึงจะเรียกว่าเหมาะสมที่จะเข้าคณะนี้ ตอบว่าไม่ เข้ามาแล้วค่อยเรียนรู้ ค่อยมาอัพเดทตัวเองก็ยังได้

เพราะฉะนั้น ไม่อยากให้น้องๆที่ฟังข่าวสารใดๆแล้วจะเชื่อไปเสียหมด ไม่งั้นจะเป็นการปิดกั้นตัวเอง ส่วนตัวคิดว่าถ้าวันนั้นได้ฟังพี่คณะวิศวะคอมมาพูดแบบนี้ ก็คงจะตัดออกจากคณะที่จะสอบเข้าไปเลยแน่ๆ แต่ถามว่าคำตอบที่ตอบทางรายการไปผิดไหม ไม่ผิดเลย ถูกต้องมากๆว่าจะต้องตามข่าวไอที

นั่นก็เพราะว่าคนเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างจากสัตว์อื่นนั่นเอง

แตกต่างตรงที่ว่าคนเราเปลี่ยนกันได้มากกว่านั้น

MC @ACM-ICPC 2012

วันนี้เพิ่งจะไปเลี้ยงปิดโครงการเนื่องจากได้เป็น staff ผู้ร่วมจัดงาน ACM-ICPC 2012 รอบภาคกลาง จัดที่ม.เกษตร บางเขน ซึ่งผ่านมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ว่าเพิ่งจะว่างมาเขียน blog

ที่ได้ไปร่วมจัดงานในครั้งนี้ ก็คือได้ไปทำหน้าที่เป็นพิธีกรของงานนั้นเอง เลยอยากจะเขียนคร่าวๆเสียหน่อย ว่าบรรยากาศของงานที่จัดเป็นอย่างไร เผื่อว่าจะมีประโยชน์ต่อผู้จัด และผู้สนใจเข้าแข่งขันกัน

การแข่งขัน ACM-ICPC นี้เป็นการแข่งเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยจะแข่งเป็นทีม ทีมละไม่เกิน 3 คน โดยจะมีโจทย์ให้ เป็นกระดาษ และให้เข้าไปเขียนโปรแกรมและทำการส่ง code เข้าไปในระบบ โดยที่ไม่ได้จำกัดภาษาใดภาษาหนึ่งเป็นการเฉพาะในการแข่งขัน โดยผู้เข้าแข่งขันจะเป็นเด็กมหาลัยทั้งหมด แต่ละทีมก็มาจากแต่ละมหาลัยกันไป โดยยังใจดีอีกว่าถ้าในรอบนี้แข่งแล้วไม่ผ่าน อนุญาตให้ไปแข่งแก้ตัวในรอบ Online ได้ ถ้าผ่านก็มีสิทธิ์ไปแข่งรอบถัดไปได้เหมือนกัน

บรรยากาศในการแข่งขันค่อนข้างจะสบายๆ ไม่ค่อยเป็นทางการมากมายเท่าไร อาจจะเป็นทางการหน่อยๆขึ้นกับผู้ที่มาเป็นประธานในพิธีเปิด ระหว่างการแข่งขันนั้น ก็มีกติกาน่ารักๆอยู่ว่า เมื่อทีมใดทำโจทย์ข้อไหนผ่านแล้ว ก็จะมีทีมงานนำลูกโป่งสีของข้อนั้นมาผูกให้ที่โต๊ะทีทีมนั้นนั่ง ถือเป็นสีสันและเอกลักษณ์ของงานนี้เลยทีเดียว ^^

สำหรับบทบาทหน้าที่ของการเป็นพิธีกรคร่าวๆนั้น ก็มีประมาณนี้

  • พิธีเปิด
    • ก็ตามธรรมเนียม คือเชิญประธานกล่าวเปิดงาน พอประธานพูดเสร็จแล้วก็อย่าลืมขอบคุณล่ะ :]
    • อธิบายกำหนดการของทั้งวันนี้
    • เชิญทีมงานขึ้นอธิบายกติกาการแข่งขันในรอบนี้
    • เชิญทีมงานผู้จัดงาน ACM-ICPC รอบ Online มาแนะนำและอธิบายการแข่งขันรอบ Online (ซึ่งเป็นคนละรอบกับรอบนี้นะ) ในครั้งนี้ก็เป็นนิสิตจากจุฬาฯมานั่นเอง
    • อธิบายสิ่งที่อยู่ในถุงผ้าที่ผู้เข้าแข่งขันได้รับจากการลงทะเบียน ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผู้แข่ง เสื้อโค้ชคุมทีม (อาจารย์ที่พานิสิตมาแข่ง) ใบปลิวต่างๆจากผู้สนับสนุน username, password และการเข้าใช้อินเตอร์เนทของโค้ช ฯลฯ
  • ระหว่างการแข่งขัน
    • ดำเนินรายการระหว่างการแข่งขันเล็กๆน้อยๆ เช่น เชิญไปทานของว่าง ไปทานอาหาร ไปถ่ายรูปรวม ฯลฯ
  • ประกาศผล
    • ก็ต้องทำการประกาศผลการแข่งขัน ซึ่งก็มีหลายรางวัลมากเลย ตรงนี้คนเป็นพิธีกรน่าจะต้องฝึกอ่านชื่อทีมมาหน่อย เพราะว่าเด็กสายคอมๆแต่ละคนก็ตั้งชื่อกันได้อ่านยากจริงๆ ^^ แล้วถ้าเกิดเดินไปถามเอาซะตอนนี้ จะทำให้เดาได้ว่าทีมนั้นได้รางวัล (ไม่เซอร์ไพร์สเลย 55)
ป้าย Staff งาน ACM-ICPC 2012 รอบภาคกลาง @KU
สุดท้ายแล้วงานก็ผ่านไปได้ด้วยดี โต้โผใหญ่ของงานนี้ก็คืออาจารย์มะนาวนั่นเอง :]

Thursday, May 10, 2012

Internship: Day 15 [On Site: Day 1]

วันนี้มาออก site ที่ TOT เป็นวันแรก
การมาในวันนี้ืคือมารถส่วนตัว มาทาง local road ที่ขนานกับ ถ.วิภาวดี รถเยอะอยู่นะ คงเป็นเพราะว่าวันนี้ตอนเช้าฝนตก
มาถึงก็เกือบ 9 โมงแล้ว แต่ว่ายังไม่มีใครมาเลย
ตอนเช้าฟ้าครึ้มเชียว

เพิ่งเคยมา TOT เป็นครั้งแรก ใหญ่มากกกก
มีแต่คนใส่เสื้อสีน้ำเงินเดินไปเดินมาเต็มไปหมดเลย

มองไปทางไหนมีแต่สีน้ำเงิน
และแล้วพอพี่ที่รับเรื่องมาถึงก็พาขึ้นไปที่อาคาร 3 ชั้น 2 เป็น office ของ TOT นั่นเอง
เป็นที่ๆพี่ๆจากบ.เบย์ มาอยู่กัน
และเมื่อครบทีมก็คือนักศึกษาฝึกงาน 5 คน พี่ 1 คน ก็ได้ลงไปทำงานกัน
เป็นงานที่ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย ก็คือ install program นั่นเอง
เป็น program ที่จะช่วยเพิ่ม facility ในเรื่องของการ update patch ให้กับ user
ก็คือต้องไป install ลงทุกๆเครื่องนั่นเอง ทุกเครื่องนี่คือทุกเครื่องที่เป็นเครื่องของ TOT และนั่นคือทุกตึก

ทำไปได้หน่อยก็พักทานข้าวเที่ยง
อาหารที่นี่อร่อยดีนะ เป็นโรงอาหาร ราคาก็พอๆกับโรงอาหารที่ตึกจัสมินละ
(วันนี้สอยราดหน้ามา อร่อยมากกก :] )
นั่งทานไปก็มองเห็นโต๊ะไป เจออะไรคมๆนี่เป็นต้องถ่ายรูปเก็บละนะเรา 555

ติดอยู่ที่โต๊ะอาหารที่ บ.TOT คิดว่าเลข 8 นี่คือข้อแปด
คิดว่าถ้ามาทำงานที่นี่ 10 วัน
ใน blog ก็คงมีรูปอะไรเทือกๆนี้ซักสิบรูปละนะ

มาเรียนภาษาอังกฤษวันละคำหน่อยไหม วันนี้ขอเสนอคำว่า 'Dignity' แปลว่า "ความมีเกียรติ"
จะขออธิบายตามความคิดของเราก็แล้วกัน human dignity จึงแปลว่า เกียรติของคน
เขาเอามากล่าวถึงในที่นี้ก็คือให้เราให้เกียรติผู้อื่น
คือมองเห็นคุณค่าความเป็นคนในตัวของเขา
มองยังไงละ? ก็คือต้องมองข้อดีของคนนั้นๆนั่นเอง
เพราะอะไร เพราะว่าทุกคนมีทั้งนิสัยที่ดีและไม่ดี จุดแข็งและจุดอ่อน เก่งและไม่เก่ง อยู่ในคนๆเดียวกันทั้งนั้น
การจะมองเห็นคุณค่าของคนอื่นนั้น คือเราต้องมองให้เห็นก่อนว่าการมีอยู่ของคนๆนั้นได้ทำอะไรซักอย่างให้มันดีขึ้นมาได้
โยนข้อเสียที่เราไม่ชอบในตัวเขาทิ้งไป มองให้เห็นนิสัยดีๆของเขา
แล้วจะพบว่าทุกๆชีวิตมันก็มีค่าพอที่จะได้รับการเคารพทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าจะเป็นเพียงแค่มดตัวหนึ่งก็ตาม

ทานข้าวเสร็จก็ทำตัวว่างๆ ยังไม่ถึงเวลานัด เดินเล่นไปนิดหน่อย อากาศแจ่มใสกว่าตอนเช้าเยอะ

ฟ้าใสๆ ตอนบ่ายๆ @TOT

ตอนที่ถ่ายรูปมีความรู้สึกว่า ฟ้าตอนนี้นี่มันเหมือนในการ์ตูนเลย
ฟ้าสีฟ้าใสๆ เมฆเป็นก้อนๆ ลอยตุ๊บป่องๆ 555

ตอนบ่ายก็เข้ามาทำงานต่อ
พี่ๆ user ที่นี่ก็ใจดีนะ เท่าที่เจอ ตลกๆก็มี แต่เห็นเพื่อนอีกคนบอกว่าเจอ user โหด บอกไม่ให้ลง ไม่ให้ยุ่ง ไรงี้
ก็ทำไรไม่ได้ ปล่อยเค้าไปน่ะ
คนที่เราเจอ มีตั้งแต่รู้ว่า RAM เครื่องไหนต่ำ ไปจนถึงยัง login หน้าจอตัวเองไม่เป็น ก็มี
มีคนนึงเหมือนใช้คอมไม่ค่อยเป็น อายุก็พอตัวน่ะ เป็นเรื่องธรรมดา
แล้วคอมพี่เค้าก็ช้ามากๆเลย พี่เค้าก็เลยให้ไปช่วยดูๆอะไรหน่อย
ที่มันไม่เกี่ยวกับที่ต้อง install อะ 555
แต่เรารู้สึกดีซะงั้นอะ เหมือนได้ช่วยคนอื่น
เพราะคิดว่าถ้ามานั่ง install program เป็นร้อยๆเครื่องก็น่าเบื่อเอาการอยู่นะท่าทาง
แต่ว่าวันนี้เพิ่งวันแรก
ก็เลยยังไม่เบื่อ 555

เลิกงานก็ไวหน่อยล่ะ เพราะว่า TOT เค้าเลิกงาน 5 โมง
เราก็ต้องเลิกพร้อมเค้าน่ะ
เพราะว่าต้องใช้เครื่องเค้าทำ
ก็เลยกลับบ้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืด

Wednesday, May 9, 2012

Internship :Day 13,14

เนื่องจากวันจันทร์หยุดก็เลยมาทำงานวันอังคารเลย
ไม่ขอพูดเรื่องวิชาการจริงๆจังๆก็แล้วกัน รู้สึกว่าเขียนแล้วไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองเท่าไร แหะๆ

ทั้ง 2 วันนี้ก็คล้ายๆกัน ก็คือ
มีพี่มา brief เรื่องที่จะไป TOT ให้ฟัง ว่าต้องทำอะไรบ้าง
ซึ่งก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร แค่ลง program เท่านั้น
แต่ว่าที่ดูจะยุ่งๆคือ ต้องเข้าไปคุยกับ user
ซึ่งตรงนี้แหละที่พี่เค้าบอกว่า เราจะได้ประสบการณ์
แต่จริงๆน้าา สำหรับเรา เรื่องคุยเรื่องคอมๆให้คนที่ไม่เข้าใจคอมฟังนี่ไม่ใช่เรื่องยากเลย
เพราะว่าถ้าเราเข้าใจด้วยคำพูดไหน คนอื่นก็สามารถเข้าใจได้ด้วยคำพูดแบบเดียวกันเนี่ยแหละ = ='
แต่คิดว่าสิ่งที่แตกต่างกันกับที่เคยทำก็คือเรื่องของความกดดัน
หนึ่งคือลูกค้าก็มองว่าไปในนามบริษัท ((จะไปทำเค้าเสียชื่อเสียงป่าวว้าา))
สองคือพี่ๆในบริษัทก็จะมองว่ามาในนามมหาลัย ((แบกเกษตรศาสตร์ไว้บนบ่าซะงั้น))
สามคือ เพื่อนๆจากม.อื่นก็จะมองในนามของเด็ก วศ.คต.เกษตร ที่กล่าวกันนักหนาว่าเก่งอย่างงั้นเก่งอย่างงี้ ที่หนึ่งนู่นนี่ ((ไอ้ที่พูดมาน่ะเราไม่เคยได้รางวัลอะไรกับเค้าเล้ย))
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าบ่าแค่นี้จะแบกอะไรนักหนา
แต่นิสัยคิดมากเรื่องไม่เป็นเรื่องก็ยังแก้ไม่หายสักที

ต่อมาหลังจากฟังเสร็จก็ได้งานใหม่คือทำ web ของบริษัท
ที่คิดคือเหมือนที่ทำ project วิชา database เลย
แต่ว่า database ไม่ได้อลังการแบบนั้น
คือตารางอะเยอะอยู่ แต่ว่าไม่ได้โยงซับซ้อนอะไร
แต่ประเด็นคือ เขียน php กับ javascript ยังไม่ค่อยจะเป็นเลย T. T
เซ็งตัวเองอยู่เหมือนกัน ทำไมเห็นเพื่อนๆหลายๆคนงมๆเดี๋ยวก็ทำเป็น
เราไม่เห็นเก่งอย่างงั้นบ้างเลย
แต่ช่างมันเถอะ คงจะเป็นเพราะว่าเราให้เวลามันน้อยกว่าคนพวกนั้นละมั้ง
หันมามองตัวเอง ว่างทีก็ไปทำโน่นทำนี่เยอะแยะ
ซึ่งไอ้ที่ว่าเยอะแยะนั้นไม่ค่อยจะเกี่ยวกับคอมๆที่เรียนเล้ยย
จะว่ามีคอมหน่อยๆก็คือเป็นงานฝ่าย IT กับงานฝ่ายโสตฯ ซะมากกว่า
จะเป็นบรรดา Word, Excel, Illustrator(นิดนึง), Photoshop(อีกนิ๊ดนึง) แล้วก็ไปโน่นเลย ตัดต่อวีดีโอ ทำ sound slide รวมไปถึงยกคอมไปๆมาๆ = ='

เรื่องทำ web ไม่ขอเขียนแล้วกัน เพราะไม่ค่อยได้ทำเท่าไร
ที่ได้ทำจริงๆก็คือออกแบบ database แล้วก็ทำ ER diagram, schema diagram
เออมีความรู้ใหม่นิดนึง คือใน MySQL Workbench ถ้าเราวาด schema ได้แล้วมันสามารถกด Ctrl+G แล้วจะเป็นการ import มาลง database ในเครื่องเราได้เลย
ตอนทำ project db ก็นั่ง copy code อยู่ได้ 555

ก็ไม่ค่อยมีอะไรเป็นพิเศษ แล้วพรุ่งนี้ก็เตรียมไป TOT
ถ้าฟังจากที่พี่เค้าพูดคือ
การทำงานนั้น เก่งแต่คุยกับ user ไม่เป็นนี่คือจบ
จบนี่คือจบจริงๆนะ คือเค้าไม่จ้าง คือไม่มีงาน
ซึ่งเรื่องพูดให้เขาเข้าใจนี่เราไม่ห่วง
เราห่วงเรื่องเราไม่เข้าใจเองซะละมากกว่าเนี่ยซี่...
เดี๋ยวเจอ user ฉลาด ถามลึก ตอบไม่ได้นี่ ไม่รู้จะเป็นยังไงเลย

ก็ไม่รู้จะเจอ user อย่างที่พี่เค้าเล่าๆกันมาหรือเปล่าน้อ..

Saturday, May 5, 2012

พิธีปิดโครงการวิศวบริการ 23

"ความเป็นครู เป็นภาระที่หนัก ที่ยากยิ่ง
ความสำเร็จนั้นอยู่ที่ศิษย์มีความรู้ความสามารถ
โดยเฉพาะมีคุณธรรมในการดำเนินชีวิต
ซึ่งเป็นหน้าที่ ของครู"

เป็นคำพูดที่ไปเจอมา ชอบมากเลยถ่ายรูปเก็บไว้
เพราะว่ามัน... ไม่รู้สิบอกไม่ถูก
คิดว่าคงเข้าใจกันดี

มาพูดถึงวันนี้ที่ไปร่วมงานพิธีปิดโครงการวิศวบริการครั้งที่ 23 
ที่จัดโดยชุมนุมวิชาการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เกษตร บางเขน กันดีกว่า

18 วันผ่านไปไวจริงๆ กับคนที่ไม่ได้มาทำโครงการเต็มตัวอย่างเรา
จำได้ว่าตอนปีที่แล้วที่จัดนี่รู้สึกว่ามันนานมากเลยทีเดียว
แต่ว่าทำไม มันสั้นเหลือเกินในปีนี้
แต่สิ่งหนึ่งที่ีรับรู้ได้มากเลยก็คือ
น้องๆพี่ๆยังคงทุ่มเทแรงกาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง แรงใจ
และโดยเฉพาะอีกคือน้องๆทีมทำงาน
แม้ว่าเราจะไม่ได้เห็นโครงการมากนัก
แต่เราเห็นงานที่ออกมา
แล้วก็รู้ดีว่าเหนื่อยแค่ไหน
กว่าจะจัดโครงการนี้ได้

พิธีปิดวันนี้จัดที่ 0410 ตึกชูชาติ กำภู คณะวิศวกรรมศาสตร์
น้องๆมาเต็มห้องเลย ต้องเสริมเก้าอี้เพียบ ^^
สมาชิกชุมนุมจัดการแสดงทั้งฮาทั้งซึ้ง
มีน้องๆออกมาพูดขอบคุณด้วยละ
มีน้องขอเวทีมาร้องเพลงเล่นกีต้าร์ให้ฟังด้วย
เป็นกันเองมากๆเลย
แอบเห็นน้องๆหลายคนร้องไห้นะเนี่ย
(พี่ๆเองก็มีบางคนแอบร้องนะ ^^)

แล้วพอเสร็จก็ลงมาถ่ายรูปกันด้านล่าง คนเยอะมาก บางคนก็อยู่ด้านหลังอีก กล้องมือถือเก็บไม่หมด
นั่นก็เพราะน้องโครงการปีนี้มีอยู่ประมาณ 400-500 คนได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าวันนี้มาเท่าไร
ปีนี้รับได้น้อยหน่อยเพราะว่ามีปัญหาเรื่องห้องเรียน ก็ดีที่ห้องนึงจะได้มีคนน้อยๆหน่อย เรียนไปได้เร็ว
การได้มาพิธีปิดวันนี้ เป็นการตอกย้ำเรา ให้มั่นใจได้อย่างหนึ่ง
คือ ในโลกใบที่อยู่ยากๆใบนี้
ยังคงมีกลุ่มคนที่อยากจะทำอะไรให้คนอื่น
โดยไม่ได้หวังอะไรตอบแทน
แล้วเมื่อมีชุมนุมวิชาการขึ้น
บางส่วนของคนเหล่านี้จึงได้มารวมตัวกัน ทำสิ่งต่างๆให้เกิดขึ้น
ไม่ใช่แค่เพียงคิดอยู่ในใจ
ไม่ใช่แค่เพียงคิดอยู่คนเดียว
แต่ทำออกมาจริงๆ เหนื่อยจริง เครียดจริง
ในขณะที่เพื่อนๆคนอื่นมีเวลาว่างก็ไปเที่ยว
สมาชิกชุมนุมวิชาการต้องเตรียมสอน ต้องขอห้องเรียน ต้องประชาสัมพันธ์โครงการ
ต้องออกข้อสอบ ต้องทำเอกสาร ต้องแก้เอกสาร ต้องทำหนังสือ ต้องขอกล่องพยาบาล ต้องเชิญคณบดี
ต้องรับโทรศัพท์ครู นักเรียน ผู้ปกครอง ต้องแก้ปัญหา ต้องประชุม ต้อง update web ต้องซีรอกซ์ ต้อง... 
ฯลฯ
ทำไมต้องทำ?
นั่นสิทำทำไมนะ
ไม่รู้สิ รู้แต่ว่ายังคงอยากทำ และยังคงดีใจที่ยังคงมีคนทำต่อ
แม้จะเหนื่อยมากก็ตาม

คำว่า "ครู" นั้น มีรากศัพท์มาจากภาษาบาลีว่า "ครุ"
ซึ่งครุ แปลว่าหนัก
การเป็นครูนั้น ไม่ได้เป็นกันง่ายๆเลย
ไม่ใช่สักแต่ว่าทำงานเสร็จ จึงเป็นครูได้
เป็นครูในความคิดของเรานั้นเป็นงานที่หนัก เพราะว่าเป็นการสร้างคน
มันต่างกับการสร้างสิ่งก่อสร้างตรงนี้ละ
เราให้ความรู้เขาไปแล้ว ไม่ใช่แต่เพียงเท่านั้น จึงเรียกว่าครู
แต่ว่าต้องให้ทางเดินที่ถูกด้วย
เพื่อที่ว่าเขาจะได้เอาความรู้นั้น ไปใช้ในทางที่ถูกต้อง
ซึ่งสุดท้ายแล้ว มันก็จะเป็นประโยชน์กับเขาเองทั้งนั้น
ซึ่งการสอนให้เป็นคนดีนั้น
มันยากกว่าสอนให้เป็นคนเก่งไม่รู้กี่เท่า
ส่วนตัวเราเอง คิดว่า
การสอนที่ดีที่สุดนั้น คือการเป็นตัวอย่างที่ดี
ไม่ได้บอกว่าเราหรือสมาชิกชุมนุมทุกคนเป็นคนดีไปเสียหมด
แต่ทุกคนก็พยายามเป็นคนดี และแน่นอนไม่มีใครดี 100%
แต่อย่างหนึ่งที่ได้แสดงออกไปเป็นตัวอย่างแล้วคือ
การมีจิดใจที่อยากจะให้
ให้ออกไปโดยไม่ได้หวังอะไรเลยนะ
ที่จะตอบแทนกลับมา

อย่างน้อยๆ วันนี้เราค่อนข้างมั่นใจ
ว่าโครงการนี้สามารถปลูกฝังความคิดเล็กๆนี้เอาไว้ให้กับน้องๆที่เข้าร่วมโครงการได้
ความคิดที่คิดจะให้ออกไป
เพราะว่าถ้าได้ลองให้ออกไปแล้ว มันก็จะเกิดการให้ต่อไปเรื่อยๆ
นี่หรือเปล่า คือความมหัศจรรย์ที่เราสามารถสร้างขึ้นเองได้
แล้วจะรู้สึกว่า
โลกนี้มันอยู่ง่ายขึ้นกว่าเดิมตั้งเยอะ

Friday, May 4, 2012

Hardware Firewalls & Software Firewalls


อะแฮ่ม ขอมีสาระจริงๆจังซักอันนะ นี่น่าจะเป็นครั้งเดียวเลยล่ะ 555+

จากคราวที่แล้วที่ได้บอกไปว่าไปอ่านเรื่องของ firewall ที่เป็น hardware กับ software
ก็สรุปได้คร่าวๆ มาจากเว็บนี้ และเว็บนี้ ได้มาประมาณนี้จ้าา


firewall มีหน้าที่คือวิเคราะห์ข้อมูลที่ส่งเข้ามา โดยอยู่บนพื้นฐานของการ config ช่วยดูแลในเรื่องของความปลอดภัย โดยจะอนุญาตให้ remote access เข้ามาใน private network ได้เมื่อมี secure authentication certificates และ login
firewall มีทั้งแบบ hardware และ software


Hardware Firewalls

แค่เอามาเป็นตัวอย่างน่อ ไม่ได้ค่าโฆษณานะ ^^


     มีทั้งแบบที่้เป็นเครื่อง firewall เองอย่างเดียวเลย หรือว่าเป็นพวก broadband router ก็จะเป็น firewall อยู่ในตัว
     firewall แบบ hardware นี้ถูกเรียกว่าเป็น first line of defense คือเจอก่อนเลย เป็นหน้าด่าน สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยอาศัยการ config เพียงเล็กน้อยหรือว่าไม่ต้อง config เลยก็ยังได้ มันจะสามารถ protect ทุกๆเครื่องที่อยู่ในวง local network นั้น

     เครื่อง hardware firewall ส่วนใหญ่จะมี 4 port เพื่อต่อกับเครื่องคอม แต่ว่าถ้าสำหรับ network ขนาดใหญ่ เช่นพวกธุรกิจก็จะมี solution ที่เป็น network firewall ขึ้นมา

     hardware firewall นี้ใช้วิธีการที่เรียกว่า packet filtering คือดู header ของ packet ที่วิ่งเข้ามา ซึ่งจะบอกถึง source, destination เอาไว้ firewall จะเอาค่าตรงนี้มาเปรียบเทียบกับกฏที่มันมีอยู่เพื่อที่ใช้ในการตัดสินใจว่าจะ drop packet ทิ้งหรือไม่
     หรือบางรุ่นจะใช้เทคนิคที่หรูหรากว่านั้นคือ  Stateful Packet Inspection (SPI)
คือจะดูลักษณะอื่นๆของ packet นอกจากส่วนที่เป็น IP source, IP destination เช่น ดูว่ามากจาก local network หรือจาก internet

     ในเรื่องของการ test firewall ว่าสามารถทำงานได้ดีนั้น เราสามารถใช้ third-party test software ได้

     ข้อเสียของ hardware firewall ก็คือมัน block port ที่ถูก config ไว้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น port ก็มีด้วยกัน 65,000 ports จึงแทบจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่า port ไหนคือ port ที่โปรแกรมใช้งานอยู่แน่ๆ และต้องเป็น port ที่ถูกต้อง
     ซึ่งเจ้าการ block port นี้ก็อาจจะส่งผลให้ packet ที่ไม่ได้เข้ามาทำอันตรายให้เข้ามาไม่ได้ เช่น การ block e-mail spam  ก็จะมีผลต่อการใช้งานโปรแกรม Microsoft Outlook หรือ Mozilla Thunderbird เพราะว่าทำงานกับ port 25 (SMTP) นั่นเอง


Software Firewalls
อันนี้ก็เป็นแค่ตัวอย่างนะจ๊ะไม่ได้เกี่ยวข้องเชิงธุรกิจน่อ


     เป็น firewall ที่ install อยู่ในเครื่องคอมของเรา และเราก็สามารถเข้าไปควบคุมมันได้ด้วย
     software firewall นี้จะสามารถป้องกัน Trojan, worms หรือว่า block application ที่ไม่ปลอดภัยได้

     ข้อเสียของมันคือ จะป้องกันเฉพาะเครื่องคอมที่ install มันอยู่เพียงเครื่องเดียวเท่านั้น ไม่ได้ครอบคลุมทั้ง network เหมือนกับแบบ hardware firewall ถ้าจะทำหลายเครื่องก็ต้อง install หลายครั้ง ซึ่ง software firewall ที่ดีนั้นควรจะ run อยู่บน background และใช้ system resource ให้น้อยๆ



สรุปแล้วก็คือ..
ระหว่างแบบ hardware และ software นั้นมีความแตกต่างกันมาก แต่ก็ป้องกันคนละอย่าง ทางที่ดีนั้นคือ เราควรจะต้องใช้ทั้ง 2 อย่าง และต้องหมั่น update บ่อยๆ

จะเปรียบเทียบง่ายๆก็เหมือนกับว่า hardware firewall เป็นเหมือน club bouncer หรือ doorman คือคนที่ตรวจว่าใครเข้าผับได้ไม่ได้ โดยดูว่าใครผิดกฏเช่นอายุไม่ถึงก็ห้ามเข้า หรือว่าต้องเป็นคนที่ได้รับเชิญเท่านั้น เป็นต้น
ส่วน software firewall นั้นก็เหมือนกับ ร.ป.ภ. มีไว้ make sure ว่าไม่มีใครเข้ามาทำอันตรายต่างๆหรือว่าทำอะไรไม่ดีข้างในผับ แล้วก็ไม่ได้ขโมยอะไรออกไปด้วยนะจ๊ะ


ปล. อยากเห็นยามไทยยืนงี้มั่งอะ ปกติเห็นแต่หลับยามกันอ้ะะะ T T

Internship: Day 11,12

ทั้ง 2 วันนี้ก็อารมณ์ประมาณเดิม กับการฝึกงานที่ บ.เบย์ คอมพิวติ้ง
อารมณ์ว่าเค้าไม่ได้มีพี่เลี้ยงให้เป็นพิเศษ เหมือนว่าใครมีงานที่เห็นว่าทำได้ก็เอาไปช่วยพี่ทำหน่อยละกัน
วันที่ 3 พ.ค. ก็อ่านเรื่อง firewall ต่อนิดหน่อย
เพราะว่าจากที่พี่ๆเค้าบอกว่าให้ลองอ่านเรื่อง firewall ดู
ก็เกิดความสงสัยว่า firewall ที่เรามีในเครื่องคอมนั้นเป็น software
แต่ว่าเครื่องที่พี่เค้าให้อ่านมันเป็น hardware
แล้วมันต่างกันยังไง เป็นยังไง
ก็เลยไปอ่านๆมา แล้วก็สรุปมา ไปอ่านได้ในตอนต่อไปแล้วกัน
แต่ว่าก็คร่าวๆนะ เอาว่าพอเป็นไอเดีย

แล้วตอนบ่ายก็ test web ต่อ
ไม่น่าเชื่อว่างาน testing มันต้องทำเยอะแยะขนาดนี้
ตาม test มาจะเป็นอาทิตย์แล้วเนี่ย
ยังไม่หมดเลย
เพิ่มมาเรื่อยๆเป็นลำดับ เหนื่อยแทนคนเขียนเว็บเลย
แล้วพี่ที่ดูแลอยู่ก็บอกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้จะนัดคนทำเว็บมาประชุมเลย

ในวันที่ 4 พ.ค. ก็เลยไปบ.
แต่ว่าพอไปถึง แม้จะ 9 โมงตามเวลานัดอยู่แล้วก็ยังไม่ค่อยเห็นวี่แววของฝั่งโน้นเค้าเท่าไร
ไปๆมาๆ พี่ที่ดูแลเรื่องนี้ก็มาบอกว่า น้องลอง test ดูอีกที
ทางโน้นเขาไม่มาแล้ว
อันนี้เราก็ยอมรับว่าแปลกใจจังเลย ทำงี้ได้ด้วยเหรอ
นี่คือการทำงานนะ
ทำงานได้เงินนะ
ทำไมผิดนัด?
บอกมาแล้วไม่มา
นี่ถ้าเป็นบริษัทใหญ่ๆนี่ไม่รู้จะโดนเละเทะขนาดไหนนะเนี่ย
เค้าจองห้องประชุมให้คุณแล้ว นัดคนแล้วอะไรแล้ว
ไม่มีแต่แจ้งล่วงหน้าว่าไม่มา
ไม่มาก็หายไปเฉยๆเนี่ยนะ
นี่หรือคือชีวิตการทำงาน
ถึงว่าสิ อ.แม็กซ์ที่เป็นรุ่นพี่ชุมนุมวิชาการถึงบอกว่า ชุมนุมวิชาการเป็นชุมนุมที่ดีที่สุดในม.เกษตร

ก็ test ต่อ กันไป
ให้ตายสิเจอ bug เพิ่มอีกแล้ว ยอมรับเลยว่าไม่อยากจะเจอ bug อีกแล้ว
เพราะว่าพี่เค้าจะต้องเอาระบบไป implement อยู่พรุ่งนี้มะรืนนี้แล้ว
สงสารคนทำ
สงสารมากๆเลย ต้องมานั่งหา นั่งแก้ bug หามรุ่งหามค่ำ และที่สำคัญคือ ด้วยความกดดัน
เข้าใจอารมณ์เลย
ล่อซะไม่อยากทำงานด้าน software ไปซะละซิเนี่ย

ตอนบ่ายวันนี้ก็ตรวจเอกสาร TOR (Term Of References)
ภาษาไทยก็คือ ข้อกำหนดของผู้ว่าจ้าง
ซึ่งเป็นเอกสารที่บอกถึงรายละเอียดของสิ่่งที่ลูกค้าสั่่งมา
ลูกค้าในกรณีนี้เป็นราชการนั่นเอง ก็คือเป็นเอกสารที่ทางราชการเค้าออกมาให้
เช่นพวก spec ที่ต้องใช้ในระบบ ไรแบบนี้
ซึ่งจะมีการ run เลข
สิ่งที่พี่เค้าให้ทำคือตรวจว่าเลขที่ run ของ TOR แต่ละข้อนั้น
มันตรงกับที่่เขา hi-light ไว้ในเล่มที่บอก spec ของของแต่ละอย่างหรือเปล่า
งานง่ายๆนะ แต่ล่อเอาซะมึนมาก
ขนาดเราว่าเราเป็นคนที่ทำงานเอกสารมามากพอตัวแล้วนะ
เพราะว่ามันเยอะมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
หนามากๆเลย เพิ่งเคยเห็นของจริงเนี่ยละ ตอนเรียน Enterprise นี่
อารมณ์ว่าถ้าเอามาทำจริงเนี่ย spec ของต้องเยอะขนาดนี้
ที่เรียนในห้องเป็นแค่คร่าวๆเองนะ
ยังมีอีกหลายส่วนที่เรามองข้ามๆไป
แค่เชคว่าเลขตรงกันหรือเปล่าเนี่ย ใช้เวลาตรวจไป 3 ชม.เลยทีเดียว
ออกมาจากบ.ด้วยความมึนหัวมากเลยวันนี้

พอกลับถึงบ้านเล่าให้แม่ฟัง
แม่ก็หัวเราะแล้วก็บอกว่า
"เนี่ยแหละเป็นงานที่เขาไม่อยากทำ"
555+