Monday, April 30, 2012

Internship: day9

ไม่น่าเชื่อว่าเพิ่งจะฝึกงานมาเป็นวันที่ 9 เท่านั้นเอง
รู้สึกเหมือนว่านั่งอยู่ใน office นี้วันละนานๆ (โดยไม่ค่อยได้สร้างประโยชน์อะไรให้พี่ๆเค้าเท่าไร = =')
ก็คงเพราะว่าพี่ๆเค้างานยุ่งละมั้ง

วันนี้มาถึงตอนเช้าก็ว่างๆเหมือนเดิม
แต่ก็มีพี่คนนึงเดินมาคุยๆนิดหน่อย
แล้วก็ถามว่าเป็นคน test web ใช่ไหม
ก็บอกว่าใช่
พี่เค้าก็เลยแนะนำมาอีกนิดนึง ว่าเวลา test web หา bug เนี่ย
ให้จัดลำดับ priority ไปด้วยเลย
ว่า bug อันไหน critical หรือเปล่า
อย่างเปิดมาเจอ red error ไรงี้ อันนี้ก็ critical
เพราะว่าจะได้บอกให้เค้าแก้ส่วนที่มัน critical ก่อน

เท่าที่คุยๆมา ทางฝั่งคนทำเว็บเค้าก็ปั่นกันไฟลนก้นอยู่พอควร
ไม่ได้ทำงานเสร็จก่อนกำหนดมากมายซักเท่าไร
ซึ่งตรงนี้อันที่จริงเราเองพอจะเดาได้
เพราะว่าผลงานเว็บออกมาเหมือนคนทำยังไม่ค่อยได้ตรวจดูเองสักเท่าไรเลย
bug ก็เลยเยอะเป็นธรรมดา
ปัญหาที่ตามมาคือ
ยิ่งแก้ bug มันจะไป bug ที่อื่นนี่ละซี่..

ก็ได้ test web ต่อไปนิดหน่อย ตามที่ทางโน้นเค้าส่งมาว่าแก้ bug ตัวไหนไปแล้วบ้าง
ก็ report กลับไป คราวนี้ไม่ได้มานั่งหา bug ,ากๆแล้วละ เดี๋ยวงานพี่เค้าจะไม่ทันเอา
เพราะคิดว่าส่วนใหญ่ที่เป็นสิ่งจำเป็นก็ได้บอกไปแล้ว
แต่ก็ยังแอบคิดไม่ได้ว่าบางจุดก็ยังคงไม่ make sense อยู่ดี
สุดท้ายก็ส่ง mail report กลับไปให้พี่ๆทีม network ได้ศัพท์ใหม่มาคำนึง
พี่เค้าส่ง mail กลับมาว่า "FYI" งงเลย ต้องหันมาเพิ่ง Google 555
มันเป็น US slang ย่อมาจาก "for your information" นั่นเอง
ท่าทางพี่เค้าอาจจะขี้เกียจพิมพ์ก็ได้นะ แบบ ไอ่พวกนี้ หา bug ได้ทุกทีสิน่า 555

หลังจากนั้นก็อ่านหนังสือ network & computer security ต่อไปอีกหน่อย
ก็ดีนะ อ่านก็รู้เรื่องละ แต่มันก็ยังขี้เกียจอ่านอยู่ดี แหะๆ
ได้รู้เรื่องการ hack มากขึ้น
อ่านแล้วก็แบบ เหนื่อยแทนนะ
คนที่ต้องมานั่งรักษาข้อมูลเนี่ย
ต้องตามกันไอ้เจ้าพวก hacker ทั้งหลาย จะไปทางไหนต้องคอยตามคอยปิดคอยกั้น
ต้องเรียนกันเป็นศาสตร์จริงจัง
ต้องมีอุปกรณ์เครื่องมือองค์ความรู้มีคนมีเงิน เยอะแยะมากมาย
เพื่อป้องกันไอ้เจ้าคนเหล่านี้
แต่ก็นั่นละ
ถึงแม้มันต้องลงทุนเยอะแยะมากมาย
มันก็ดูเหมือนจะง่ายกว่าพัฒนาจิตใจคนให้เลิกเอาของๆคนอื่นมาเป็นของเรา
โดยมีสิ่งตอบแทนอันเป็นผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นข้อแลกเปลี่ยน


Saturday, April 28, 2012

วิศวบริการ 23

วันนี้ได้กลับมาเยี่ยมโครงการวิศวบริการ 23
จัดโดยชุมนุมวิชาการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เกษตรบางเขน
สถานที่จัดก็คือภายใน ม.เกษตร บางเขนนี่ละ
จัดการเรียนการสอนใน 3 วิชาคือ Math, Physics, Chem
ให้กับนักเรียนม.ปลายจากทั่วประเทศเลย

ปีนี้เราเป็นรุ่นพี่แล้ว
กลับมาเยี่ยมโครงการเพราะว่าโครงการนี้ไม่ได้มีโอกาสมาสอน
เพราะว่าติดฝึกงานนี้เอง

วันนี้เป็นวันที่พี่ๆเค้านัดกันเพื่อมาเยี่ยมโครงการด้วย
"พี่ๆ" ในที่นี้คือ พี่ๆชุมนุมวิชาการ ที่จบๆกันไปแล้ว
วันนี้ได้อะไรเยอะมากๆ
มีความสุขมากๆด้วย

พอเรามาถึงม. ก็ปรี่เข้าไปที่ห้องชุมนุม
เจอเพื่อนๆที่เป็นทีมทำงานในรุ่นเดียวกับเรา
ซึ่งตอนนี้ก็ต้องอยู่ในฐานะทีมเคยทำงานไปซะแล้ว
พูดให้ดูดีหน่อยก็เป็นที่ปรึกษานั่นเอง ^^

ที่มันปลื้มก็คือ
เราได้กลับมาเห็นโครงการ
ซึ่งมันทำไมเหรอ?
คำตอบก็คือ
ซึ่งมันยังคงมีอยู่ ยังไม่หายไปไหน ยังคงรักกัน ยังคงปรารถนาดี ยังคงไม่หวังอะไรตอบแทน
เพราะว่า เรารู้ดีว่า กว่าจะมาเป็นวิศวบริการได้ มันเหนื่อยขนาดไหน
กล้าบอกได้เลยว่าตั้งแต่ทำกิจกรรมมา ก็ไม่น้อย
จัดวิศวบริการนี่เป็นบทบาที่เราเหนื่อยที่สุดแล้ว
ต้องติดต่อฝั่งราชการ คือมหาลัย ไม่ว่าจะเป็นอาคารสถานที่ เชิญคณบดี ไปจนถึงเรื่องขอ xerox 
ต้องติดต่อโรงเรียนทั่วประเทศ เป็นพันโรง
ต้องติดต่อผู้ปกครอง ครู นักเรียน
แล้วก็ต้องเตรียมการสอนด้วยนะ
เหนื่อยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
แต่ก็ยังจัด
เพราะอะไรนะ?
ยังหาคำตอบที่ตรงกับใจอยากจะพูดออกมาไม่ได้สักที
ทั้งๆที่เหนื่อยก็เหนื่อย เครียดก็เครียด
ปัญหาเยอะแยะ เวลาเล่นก็ลด เวลาเรียนก็ลด
เพื่อนๆตั้งหลายคนก็บอกให้ออกมาสิ
แต่ก็ยังคงจัดจนได้
ซึ่งเรารู้ดีว่า
รุ่นน้องก็ต้องเหนื่อยอย่างนี้เหมือนกัน
ยังไงก็ต้องเหนื่อย
คนที่จัดโครงการแล้วบอกว่าไม่เหนื่อย
เราว่าคือคนที่ไม่ค่อยได้เข้ามาทำจริงๆ

วันนี้ได้เห็นรุ่นน้องจัดโครงการ
แอบเดินเข้าไปดูในห้อง 0410 ที่ตึกชูชาติ กำภู
ก่อนเข้าห้องเจอบอร์ดที่ให้น้องๆโครงการมาเขียนความรู้สึดจากการทำข้อสอบ quiz


เห็นแล้วน่ารักดี ^^ อาจจะเพิ่งติด เพราะว่าเพิ่งจะ quiz ไปเมื่อวาน เลยโล่งๆอยู่
อ่านแล้วก็ขำ บางคนก็ว่ายาก บางคนก็ว่าง่าย
แต่ชอบอันนี้ อ่านแล้วอยากเดินไปถามน้องคนเขียน


ว่ามันยากขนาดพระเจ้ายังต้องจอดเลยเหรอน้อง ^^

พอเข้าไปในห้องก็เจอน้องๆกำลังเรียนเคมีกันอยู่


สอนโดยน้องไอซ์ ซึ่งเป็นน้องรุ่นทีมทำงานนี่เอง :>
ชอบตรงที่ว่า ตอนน้องเค้าสอน พอเหลือเวลาก็เล่าเรื่องให้น้องๆฟัง
เป็นเรื่องที่ฟังสนุกแต่ว่ามีข้อคิด
ข้อคิดที่สำคัญคือ อย่าประมาท
ฟังแล้วเราก็ต้องเอามาเตือนตัวเองด้วยนะ อย่าประมาท
จริง เพราะว่าการใช้ชีวิตของคนปัจจุบันนี้ ต้องบอกว่าประมาทมาก

หลังจากนั้นก็เป็นช่วง relax คือสันทนาการพอดี
ในโครงการนี้มอบหมายให้น้องๆปีหนึ่งจัดสันทนาการ
มองดูแล้วก็รู้สึกว่า น้องๆเก่งนะ
เก่งมากเลย คิดกิจกรรมมาค่อนข้างดี
เล่นแล้วน้องเล่นด้วย เล่นแล้วฮา
แต่ก็มีบางอย่างเกินไปบ้าง
อันนี้เราๆปีสามเห็นแล้วก็มาจดๆกันไว้

พอตอนประชุมประจำวัน
เราก็เอาสิ่งที่เราพบมาพูดกัน
เอาจริงๆนะไม่อยากจะทำเลย เพราะมันคือการดุน้อง คือการติน้อง แต่ว่าเราไม่ได้ประจานนะ
คุยกับเพื่อนว่าไม่อยากทำเลย มาวันเดียว มาถึงก็เหมือนมาจับผิดน้อง
ในสิ่งที่น้องตั้งใจทำ
แต่เพื่อนบอกว่า
มันก็ต้องทำนะ
จริงละ มันก็ต้องทำ ปี1 ต้องโดนเตือนบ้าง ให้เข้ารูปเข้ารอย
ก็ต้องเตือนกันแบบผู้มีการศึกษานะ
คือพูดกันด้วยเหตุด้วยผล
ไม่รู้เหมือนกันว่าน้องเค้าจะรับฟังแล้วเอาไปทำตามรึเปล่านะ
แต่อยากให้น้องๆเข้าใจจังเลย
ว่าสิ่งที่ทำมันมีผลมากนะ
ไม่ว่าจะพูดอะไร ทำอะไร
เพราะนั่นคือทำในนามของ ม.เกษตร นะ

หลังจากประชุมเสร็จก็ไปทานข้าวกัน
พี่ๆจัดหนักมากกกก 555
พาไปร้านสวยมากเลย
เล่าอะไรให้ฟังเยอะแยะ
เพื่อนๆน้องๆพี่ๆที่ไปทานข้าวกัน อันนี้แค่โต๊ะเดียวนะ มีโต๊ะอื่นอีก :]

พี่ๆบางส่วนแนะนำตัว
ไม่น่าเชื่อนะ
คงมีไม่กี่ชมรมหรอก
ที่คนทีจบไปแล้วเกือบ 20 ปีจะกลับมา
ไม่ได้กลับมาคนเดียวนะ
มากันเยอะมากเลย เกือบทุกรุ่นเลย
วันนี้ไปกินกันประมาณ 40 คนได้
มีรุ่นพี่บางคนจบไปก็ไปเป็นอาจารย์อยู่ที่ภาคเคม
อยากมีอาจารย์ที่ภาคเป็นรุ่นพี่ชุมนุมบ้างจัง ^^
เคยเกิดคำถามในใจเหมือนกันว่า
ทำไมรุ่นพี่เค้าถึงกลับมา มากมายขนาดนี้?
เพราะว่าเขารักเหรอ
หรือว่าเขาประทับใจ
อาจจะเพราะว่าเป็นความสุข
โครงการดีๆแบบนี้
ให้อะไรที่ไม่หวังผลตอบแทน
และเกิดผลกระทบในมุมกว้าง
ฟังพี่เค้าเล่าแล้วพบว่ามันเกิดผลกระทบในมุมกว้างมาก
มีผลกระทบต่อประเทศชาตินะ
ข้อนี้เราก็เคยคิดอยู่ว่า
เพราะว่าชาติจะพัฒนาได้
คนต้องพัฒนา
ทางหนึ่งที่คนจะพัฒนาคือพัฒนาการศึกษา
และสิ่งที่โครงการเราให้น้องมันมากกว่าการศึกษาในตำรา มากกว่าการให้กำลังใจในการเรียน
มันให้การเป็นตัวอย่าง
ตัวอย่างในการทำอะไรให้คนอื่นโดยไม่ได้หวังอะไรตอบแทน
อยากให้น้องๆโครงการได้ซึมซับตรงนี้ไปเหมือนกัน
เพราะความรู้เป็นเหมือนมีด
จะเอาไปทำกับข้าวก็มีข้าวกิน ดำรงชีวิต
จะเอาไปฆ่าคนคนก็ตาย ทำลายชีวิต

เคยมีเพื่อนที่ภาคคนหนึ่งถามเหมือนกันว่าชุมนุมวิชาการทำอะไร
ก็ตอบไปว่าสอนหนังสือ
เพื่อนก็บอกว่างี้รวยเลยสิ
ก็บอกไปว่าไม่ได้ตังค์
เพื่อนก็บอกมาประโยคหนึ่ง ฟังแล้วจุกเลย
"ไม่ได้ตังค์อะทำทำไม"

ไปไม่เป็นเลย ไม่รู้จะพูดยังไง 555
ฟังแล้วความรู้สึกหนึ่งที่เกิดขึ้นด้วยก็คือสงสารนะ
ว่าเขาจะไม่เคยได้รัรบความรู้สึกแบบที่เราได้เลย
ความรู้สึกที่น้องโครงการเดินมาขอบคุณ คือเสียงที่น้องพูดออกมามันคือขอบคุณจริงๆ
หรือว่าการที่น้องมาบอกว่าเข้ามหาลัยได้แล้วนะ
หรือว่าแค่การที่น้องเค้าตั้งใจฟังที่เราสอนในคาบก็ตาม

แต่จะว่าเพื่อนก็ไม่ได้
มันอยู่ที่คนคิด ความสุขของคนเราก็แตกต่างกันไป
ก็อยู่ที่มุมที่มอง

Friday, April 27, 2012

Internship: Day8

วันนี้ก็เริ่มจากการว่างงานตลอดครึ่งเช้าอีกตามเคย
แต่ก็ไม่อยากปล่อยให้ว่าง เลยนั่งหยิบหนังสือ network secure ที่พี่เค้าเคยให้มาอ่าน

Computer & Network Security  - ธวัชชัย ชมศิริ

ถ่ายออกมามุมไม่ค่อยดีเพราะต้องแอบถ่ายนิดนึง = = เดี๋ยวพี่ๆคิดว่ามาถ่ายรูปเล่นไม่ทำงาน แหะๆ
โอเคเลยนะ อ่านพอรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง
แต่จัดว่าเขียนได้อ่านง่ายเลยทีเดียวละ
ไม่ใช่หนังสือแปลด้วย ฉะนั้นภาษาจะเข้าใจง่ายกว่า
คิดว่าถ้าใครเรียนวิชา Computer network มาแล้ว ก็น่าจะเข้าใจได้ไม่ยากเลย
ก็เลยลองสรุปคร่าวๆตามความเข้าใจ จากเท่าที่อ่านแล้วคิดว่าน่าสนใจ
รวมกับหาข้อมูลในเว็บอื่นๆ มาให้ลองคิดเล่นๆกัน
ใครสนใจแบบเต็มๆ ก็ไปหาซื้อมาอ่านกันได้เลย :]

เปิดมาก็เหมือนเป็นบท intro ก่อน เช่นว่า เราต้องรักษาความปลอกภัยเนี่ย มอง 4 ด้านคือ

  1. ผู้ไม่หวังดีเข้าไปใช้คอมเครื่องนั้นเลย
  2. การลอบเข้าถึงเครื่อง server ด้วยวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเดา password การ remote ไปจนถึงการใช้พวก ARP, ICMP, TCP อะไรพวกนี้ ซึ่งเรียกว่าวิธี DoS สารพัดจะสรรหาทางเจาะเข้าไปกันละน่อ..
  3. ทางระบบ network เช่นพวก แปลง MAC หรือทำ ARP spoof
  4. ทางด้านข้อมูล ก็คือต้องรักษาตัว DB server นั่นเอง แล้วก็ข้อมูลเกี่ยวกับระบบและอุปกรณ์ nw ต้องเป็นความลับพอควร

ต่อมาก็เรื่องของการปิดช่องโหว่ ว่าเราต้องสนใจช่องโหว่ของอะไรบ้าง

  1. ของเครื่อง server เช่นการปิด port ที่ไม่ใช้ หรือใช้ anti-virus
  2. ของระบบ LAN อันนี้เค้าบอกว่าให้ใช้ switch ที่ทำ filter ของตัว MAC addr, IP ได้ ซึ่งตรงนี้จะป้องกัน man in the middle (หรือดูจาก wiki) ได้
  3. ของ wireless คือต้องมีการเข้ารหัสด้วย WPA
  4. ของ web app มีหลายอย่าง เช่น การใช้ https แทน http
  5. ของด้านนโยบาย เช่น การกำหนดความยาวและความยากของ password อะไรแบบนี้
เอาไว้น้ำจิ้มๆเท่านี้ก่อนเรื่องวิชาการตามตำรา เดี๋ยวจะหลับกันหมด 555+

สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการไปฝึกงานวันนี้อีกอย่างคือ ใช้ MS Excel เก่งขึ้นนิดนึง ><
เพราะว่าเพื่อนที่ไปด้วยกันมีงานที่ต้องใช้ แล้วติดปัญหาตรงจุดที่เราเองก็เคยติดเหมือนกัน
เลยลอง search google จนได้มา

นั่นก็คือเรื่องของการ merge cell โดยที่ทั้ง 2 cell (หรือมากกว่า) นั้นมีข้อมูลอยู่
แต่ว่าเราต้องการ merge โดยที่ข้อมูลไม่หาย
เช่น ช่องติดกันคือ A3 กับ B3 มีข้อมูลว่า 123 และ 456 ตามลำดับ
เราต้องการ merge โดยรวมเป็น cell เดียวที่มีข้อมูลว่า 123456
แน่นอนว่าถ้าเรากดปุ่ม merge&center ที่มีให้นั้น มันจะเหลืออยู่เพียงข้อมูลช่องเดียว
วิธีการทำก็คือสร้าง column ใหม่แล้วต้องเขียน code ซึ่งง่ายมาก นั่นคือ
=A3&B3
เท่านี้ก็จะได้ช่องใหม่ที่มีข้อมูล 123456 ตามสบาย

แต่ว่าถ้าต้องการ 123 456 ละจะทำยังไง?
ไม่ยากๆ การทำก็คือ
=CONCATENATE(A3," ",B3)

เท่านี้ก็จบ เพิ่งรู้วันนี้เองว่า Excel มี concat ให้ใช้ด้วย
เป็นโปรแกรมครองโลกจริงๆเลย ซึ่งรู้สึกว่าเพื่อนๆในแวดวง programming จะมองข้ามไป

ซึ่งหลังจากทานข้าวเที่ยงเสร็จ
ขึ้นมาที่ office ก็มีพี่ HR ตามไปรับโทรศัพท์พี่ที่ให้ test web
พี่เค้าบอกว่าให้ test web ต่อเพราะว่าเมื่อวานส่ง report ที่ทำไปให้คนเขียนเว็บแล้ว
เค้าแก้มาให้แล้วบางข้อ
ก็เลยมาตรวจ bug ต่อในตอนบ่าย ลองดูว่าข้อที่เค้าแก้แล้วนั้นโอเคแล้วหรือยัง
แล้วก็เจอ bug ใหม่อีก 3 ตัวด้วย

ตรงนี้เราเห็นอะไร? ตรงนี้เราเห็นการทำงาน การตามงานของพี่ๆเค้าอยู่เหมือนกันนะ
ไม่ดองเหมือนทำงานกับเพื่อนๆที่มหาลัย
เค้าโทรมาว่าแก้แล้วก็โทรมาบอกเราเลยว่าให้ test ไรแบบนี้
แล้วก็ไม่เชื่อไปเลย (<--นี่มันกาลามสูตรนี่) 
ไม่เชื่อไปเลยว่าโอเค คุณแก้แล้วนะ ไรงี้
ถ้าเป็นเรา ทางโน้นบอกมาว่าแก้แล้ว ก็คงจบใช่ไหม
แต่ว่าอันนี้เค้าไม่ไว้ใจ ต้อง test ด้วยนะ

โอยไม่ไหวละวันนี้กระจัดกระจาย ตอนนี้ก็ง่วงมากๆเพราะว่าตอนเย็นไปเยี่ยมน้องๆชุมนุมวิชาการที่กำลังจัดโครงการวิศวบริการ 23 กันอยู่ คิดถึงโครงการมากๆ ^^

Thursday, April 26, 2012

Internship: Day7


วันนี้ก็วันที่ 7 แล้วกับการฝึกงานที่ baycoms
งานวันนี้ไม่ได้มีอะไรใหม่ แต่ว่าทำงานต่อเนื่องจากเมื่อวาน
นั่นก็คืองาน testing web นั่นเอง
อันที่จริงมันก็ไม่ได้ยากอะไร
มันก็เหมือนการ test งานเขียนเว็บก่อนส่งอาจารย์
ตามวิชาต่างๆที่ได้เรียนไปนั่นแหละ
แต่มันต่างกันที่ความรู้สึกมากกว่า
เพราะว่าอันนี้ไม่ใช่งานแล้ว ไม่ใช่การบ้าน
แต่ว่าเป็นงานจริงๆ เป็นเว็บไซต์ที่เค้าจะเอาไปใช้จริงๆนะ
ตำรวจเค้าจะเอาไปใช้จริง
ช่วยเหลือคนจริงๆ
ถ้าระบบไม่ดี ก็จะมีคนเดือดร้อนนะ
ถ้าระบบดี จะได้ไม่เป็นตัวถ่วงการทำงานของทางตำรวจ
เค้าจะได้เอาไปช่วยคนอื่นได้
มันต่างกันที่ความรู้สึกตรงนี้เอง :]
ก็เลย test กันใหญ่เลย

อาจจะเป็นเพราะว่าเมื่อวานมีงานเอกสารด้วย
แถมพี่เค้าเอางาน test web มาให้ทำตอนบ่ายด้วย
แถมไฟในห้องที่นั่งทำเมื่อวานก็เป็นไฟสีส้ม --Romantic ซะ
..ซะง่วงเลยทีเดียว 555
เมื่อวานก็ลืมเอาบรรยากาศห้องประชุมที่พี่เค้าอธิบายการ testing ให้ฟัง
เป็นห้องที่เค้าให้เรานั่งทำงานเมื่อวานล่ะ วันนี้เลยเอามาลงซะหน่อย



ส่วนวันนี้มาทำตอนเช้า ตอนแรกคุยกับเพื่อนๆก็เหมือนว่า จะไม่ test ต่อแล้ว
เพียงแต่เอาสิ่งที่แต่ละคนได้มารวมๆกันแล้วส่งให้พี่เค้าเลย
ซึ่งเราเป็นคนรวม
ไปๆมาๆ กลายเป็นหา bug ต่อซะงั้น
ก็สนุกดีนะ
สรุปว่าหา bug ต่อตลอดครึ่งเช้าเลย

ตอนเที่ยงก็มีกลุ่มพี่ๆ HR ชวนไปทานข้าวที่เซ็นแจ้ง
แต่เนื่องจากเป็นปลายเดือน ก็เลยคิดว่าเดี๋ยวค่อยไปต้นเดือนไรงี้ดีกว่านะ 555
ก็เลยไปทานข้าวโรงอาหารที่ใต้ตึกตามปกติแทน

ตอนบ่ายพอเข้ามาเราก็จัดแจงรวม bug ใน web ที่ทั้ง 3 คนเจอ
มึนมากก 555
อย่างหนึ่งที่อยากให้จำไว้สำหรับ tester มือใหม่ก็คือ
แน่นอนว่าการแยกกันหา bug คนละหน้า web หรือว่าแบ่งส่วนกันหาเนี่ย
อาจจะไม่ค่อย work ก็ได้นะ
เพราะว่าคนเดียวอาจจะไม่สามารถเจอ bug ที่ครอบคลุมทุกจุดได้
เราเลยใช้มาตรการช่วยกันหาแล้วกัน
ปัญหาจึงยังเกิดเอาตอนรวมนี่เอง

ขออธิบาย format ที่พี่เค้าให้ทำก่อนก็คือ
ให้ลองเล่น web จนเจอจุดบกพร่อง
แล้ว capture หน้าจอ
พร้อมเขียนปัญหาไว้ เอกสารทำบน MS Word
ประมาณนี้



เพื่อที่ว่าพี่เค้าจะได้เอาไปส่งให้คนที่พี่เค้าจ้างเขียนเว็บนี้ได้อ่าน
แล้วจะได้ตอบกลับมาและแก้ไขได้

ที่แน่ๆคืออย่าลืมลอง test บน browser ต่างๆด้วย
ซึ่งพวกเราที่อยู่ในแวดวง IT ส่วนใหญ่ก็ใช้ firefox ไม่ก็ chrome กัน
แต่ก็ต้องอย่าลืมว่า คนอื่นๆๆๆๆๆๆ เค้ายังใช้ IE กันอยู่นะ
ดีไม่ดี IE6 ด้วยนะ =*=
โชคดีอีกหน่อยที่มีเพื่อนใช้เครื่อง Mac เลยได้ลอง test บน safari ด้วยเลย ไม่ต้องหามาลงใหม่

ส่วนเรื่องง่ายๆที่ไม่ควรมองข้ามเลยในเวลาช่วยกัน test ก็คือ
run เลขของแต่ละคนมาเลย ว่าเป็น bug อันที่เท่าไรที่เจอ
เจอแล้วก็บอกๆกันด้วยจะได้ไม่ต้อง test ซ้ำๆ เสียเวลานั่ง capture ภาพ นั่งพิมพ์ report
แล้วก็อย่าลืมเขียนด้วยละ ว่าเจอ bug นั้น ในหน้าไหน เข้าไปยังไง ต้องกดอะไร
ไม่งั้นงงแน่ๆ
โดยเฉพาะ web ที่เนื้อหาเยอะๆอย่าง web ที่ได้รับมานี้
เท่าที่ดูๆ ความยากของการเขียน web นี้อยู่ที่การทำ database อยู่เหมือนกัน
ท่าทางน่าจะมีหลาย table เอาเรื่องอยู่
bug ก็ไม่ใช่น้อยๆเลย

ตอนเอามารวมสุดท้ายได้ประมาณ 30 กว่าข้อแน่ะ

พี่เค้าเข้ามาดูตอนเย็น ก็บอกว่า ดีมาก ละเอียดดี
ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าละเอียดไปรึเปล่า
อันที่จริง test ไปก็สงสารคนเขียน web อยู่เหมือนกันนะ
เค้าคงแอบด่าเราอยู่ในใจเหมือนกัน
จะละเอียดไปรึเปล่าเนี่ย

แต่ว่าก็มันเป็น bug จริงๆนะ
เจอ bug ก็ไม่ควรปล่อยไปละน่อ~~

Wednesday, April 25, 2012

Internship :Day6

วันนี้เป็นวันที่นับว่าสนุกดี :]
เริ่มจากการที่ตอนเช้า ไปถึงบริษัทสักพัก ก็มีพี่คนนึง
(คนเดียวกับที่เคยมาพูดเรื่อง cer ให้ฟัง)
พี่เค้ามองๆ แล้วก็หายเข้าไป ออกมาจากห้องพร้อมกับหนังสือเล่มนึง
ชื่อว่า Computer & Network Security
อ่านไปนิดหน่อยละ ว่างๆจะจดมาเล่าให้ฟัง

แล้วงานแรกก็มา
คล้ายๆเดิมแหละ เป็นงานเอกสาร
แต่ว่าคราวนี้มาเป็น spec ของของอีก project หนึ่ง
project ที่แล้ว บริษัททำให้ทหาร ต้องบอกว่า spec โหดมากกกก หรูสุดๆๆๆ
พี่คนนี้เค้าก็เล่าว่า พวกอุปกรณ์เทคโนโลยีของทหารของเมืองไทยนี่
หรูนะ ระดับน้องๆต่างประเทศเลย
ฟังแล้วก็อุ่นใจน่อ.. ความมั่นคงของชาติ ^^

ส่วนวันนี้เป็น spec ของตำรวจแทน
เป็นระบบ call center ของตำรวจ เพื่อให้บริการแก่ประชาชน :]
ที่นี่เค้าเรียกย่อๆกันว่า project 191
พี่เค้าก็เล่าว่าเรื่อง spec ของฝั่งตำรวจนี่จะไม่ได้หรูเหมือนทหาร
ติดจะโบราณหน่อยๆด้วยซ้ำ ^^"
ก็เท่าที่อ่าน spec ของดู ก็ตามนั้นแหละ
ไม่ได้หรูหราเหมือนของฝั่งทหาร
แต่ถ้ามองว่ามันก็เพียงพอต่อการใช้งาน
ใช้ของตามวัตถุประสงค์ตามที่ต้องการ
ก็น่าจะดีแล้ว
คำว่าดีในโลกใบนี้ มันก็น่าจะเป็นคำย่อของคำว่า พอดี ไม่ใช่หรือ?

ก็นั่งตรวจเอกสารไปจนเที่ยง
พอกลับมาจากทานข้าว
ก็มีพี่อีกคนนึงมาให้งาน
คือให้มาเป็น tester
ช่วยกัน test หา bug ใน web ที่ไปจ้างคนอื่นทำมา
project 191 นี่แหละ ทาง BAY comp. ไปจ้างคนอื่นเขียนเว็บ
เอาจริงๆนะ เปิดดูแล้ว
เพื่อนๆเราทำได้เลยอะ
ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย โดยเฉพาะเรื่อง UI นี่ เพื่อนๆเราโหดๆกันก็เยอะ
แต่ว่าโปรเจคนี้มันใหญ่ เท่านั้นเอง แต่ละส่วนมัน link กันเยอะ
แต่ว่ามันไม่ได้ยากแบบ โห ย๊ากยาก
(ที่พูดเนี่ย ก็ไม่ใช่ทำเป็นทั้งหมดอะนะ แต่พอนึกออกว่าต้องทำไง แล้วมันก็ไม่น่ายาก)

หน้าตา website ที่ได้ทำการ testing วันนี้

ก็ได้รู้หลักการ testing มาหน่อยๆ ก็คือ
ให้เราเป็น user ในฐานะต่างๆ
เข้าไปลองทำโน่นทำนี่ ว่าทำได้ไหม
เวลา add คนเพิ่ม กรอกประวัติ ไม่ครบแล้วระบบรับหรือเปล่า
มีอะไรพิมพ์ผิดหรือเปล่า
ใช้งานได้จริงหรือเปล่า
พอกดสั่งงาน คนนี้ออกไปกับรถคันนี้
รถคันนั้นอีกที่หนึ่งจะต้องขึ้นว่าไม่ว่างให้ใช้งานแล้ว
ขึ้่นหรือเปล่า อะไรทำนองนี้

ก็โอเคนะ สนุกดีเหมือนกัน
ใส่โน่นใส่นี่ ได้รู้ spec ของ hardware ที่เค้าจะเอาไป implement 
แล้วก็ยังได้รู้ระบบที่จะเอาไปใช้ในเชิง software ด้วย
ถึงแม้จะไม่ได้ลงมือจับจริง
ก็นับว่าโอเคละ เค้าคงไม่ให้เราไปจับหรอกเนอะ 555+

แล้วก่อนกลับวันนี้ก็ไปถามพี่ HR เรื่องไป site
ฟังดูแล้ว
คงไม่ได้ไปแล้วแหละ แอบเสียใจนะเนี่ย ฮือ!

Tuesday, April 24, 2012

Internship: Day4,5

เมื่อวานเหนื่อยเกินไปหน่อยเลยไม่ว่างมาเขียน blog
กลับถึงบ้านทานข้าวอาบน้ำแล้วก็ตายทันที
เพราะว่านอกจากจะเลิกงานเย็นกว่าเดิมครึ่งชั่วโมงคือจาก 6 โมงเป็น 6.30 แล้ว
ยังได้กลับไปที่ม.เกษตร ตอนประมาณ 4 ทุ่มครึ่ง
เพื่อเอาขนมไปให้สมาชิกชุมนุมวิชาการที่กำลังจัดโครงการกันอยู่ในตอนนี้ด้วย
ประทับใจคำพูดของพ่อคำหนึ่งคือ




"ไม่เป็นไรหรอก ซื้อให้น้องๆกินกัน
เพราะว่าจัดโครงการก็ไม่ได้ได้อะไร มีของกินอร่อยๆหน่อยก็ดี"
ฟังแล้ว โห.. หล่อเลยพ่อ ^^

เดินทางก็แอบเหนื่่อย แต่ว่าดีใจมากๆที่เห็นคนเต็มห้องเลย
คิดถึงโครงการมากๆ ว่างเมื่อไรคงต้องจัดเต็มสักวัน


พล่ามมานาน เริ่มที่เรื่องของการฝึกงานดีกว่า
ทั้ง 2 วันนี้ งานที่ได้รับมาคืองานเอกสาร
งานแรกคือ เรื่องของการแบ่งระดับของบุคลากรในองค์กร
เหมือนเป็นมาตรฐานในแต่ละด้านของคนเรา
เช่น ทักษะการปรับตัว ทักษะการใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์
ทักษะการนำเสนอ ทักษะการสอนคนอื่น
แต่ละด้านแบ่งเป็น 5 ระดับ
สิ่งที่พิมพ์คือ แต่ละระดับของแต่ละด้านนั้น
บุคคลคนนั้นต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง
ซึ่งเป็นงาน HR
และซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับวิศวะคอมเลย 555
ก็ยอมรับว่าเบื่อๆนิดหน่อยเหมือนกัน นั่งพิมพ์เอกสารเกือบทั้งวันเลยทีเดียว
แต่ก็ได้รู้เรื่องของทักษะการทำงานในบริษัท
คือตรงนี้ทำให้เราได้เห็นชัดมากว่า การทำงานนั้น สิ่งที่สำคัญมากกว่าความเก่ง
คือการทำงานร่วมกับผู้อื่น
เพราะงานใหญ่
ทำคนเดียวไม่ได้แน่นอน
ซึ่งไม่รู้ว่าเข้าข้างตัวเองหรือเปล่า
แต่ก็รู้สึกว่าทักษะนี้เราก็พอมีอยู่บ้าง ในระดับที่น่าจะโอเค
แต่เรื่องความเก่งในด้านวิชาการอันนี้ไม่รู้แฮะ แต่ที่แน่ๆคือไม่ได้หรูหราอะไร

ต่อมาอีกวันนึง เอกสารที่ได้ทำคือเอกสารเดิมที่เคยตรวจไป คราวนี้ให้เอามาแก้ในคอม
อันนี้เกี่ยวกับวิศวะคอมเข้ามาหน่อย 555
คือเอกสารการสั่งซื้อของ เพื่อนำไป implement
อย่างที่เค้าโฆษณาว่า BAY comp. เป็น one stop service
คือสั่งซื้อให้ด้วย แถม implement ให้อีก
เอกสารที่พิมพ์ก็จะเป็น spec ของระบบทั้งหมด
ที่ว่าเหมือนเรียนในวิชา Enterprise Application Architecture นั่นแหละ
คือเหมือนโครงการนี้นี่สร้างระบบใหม่หมดเลย
มีทั้ง spec ของ เครื่อง server, database server , TV, UPS, กล้องวงจรปิด,
เครื่อง scan ลายนิ้วมือ (เรียกภาษาสวยๆว่า ระบบ Access control),
ระบบเสียง, จอภาพ, VM ฯลฯ
ดีตรงที่ว่าได้รู้ spec ของสิ่งต่างๆเหล่านี้ ว่าเค้าดูอะไรกันบ้าง

ก่อนกลับบ้านมีพี่ที่ทำงานมาคุยเรื่องของ certificate ด้วย
ว่า cer นี้มันมีอยู่หลายค่าย
ถ้าที่เราคุ้นๆกันดีก็คือ cer ของ cisco ก็คือบรรดา CCNA, CCNP, CCIE ทั้งหลาย
อันนี้ก็คือเป็นทางด้าน network ซึ่งพี่เค้าบอกให้เตรียมไว้
พื้นฐานก็คือ CCNA


ส่วนอีกตัวหนึ่งก็จะเป็น security คือ CompTIA security


ว่าแล้วพี่ HR ที่อยู่ตรงนั้นด้วยก็ให้แนวข้อสอบ CompTIA มาคนละแผ่น

แต่ว่าถ้าเป็นทางด้านของ system เนี่ย
ก็จะให้ฝึกใช้พวก Linux

พี่เค้าแอบบอกมาว่า หลายๆสถาบันไปสอน windows
พี่เค้าว่ามันไร้สาระ เพราะจากที่เรียนบรรดาวิชา OS มานั่นแหละ
อันนี้นับว่าเป็นโชคดีที่ม.เกษตรเน้น Linux
พี่เค้ารู้เลยนะว่า ถ้ามาจากเกษตรเนี่ย Linux ได้แน่ (นั่น ลอยแทนอาจารย์เลย 555)

เอาว่า 2 วันนี้ก็รู้อะไรเพิ่มขึ้นนิดๆหน่อยๆละมั้ง
แต่ที่ได้มากกว่าความรู้เชิงคอมๆก็คือ
บรรยากาศในการทำงาน
เป็นพนักงาน
เป็นมนุษย์เงินเดือน
มีป้ายห้อยคอ
เข้างานตรงเวลา
เลิกงานตามเวลา
ก็ยังคงไม่รู้ว่าอนาคตจะต้องทำงานเทือกๆนี้จริงๆรึเปล่า



Friday, April 20, 2012

Internship: Day3

วันนี้ก็ปาเข้าไปวันที่ 3 แล้ว กับการมาฝึกงานที่ BAY computing
เอาตามตรงก็คือไม่ได้ทำอะไรมากมาย แต่ก็เข้าใจว่าเป็นเรื่องธรรมดา หลายๆที่ก็เป็นแบบนี้ กับเรื่องของการฝึกงาน

งานในวันนี้ก็ได้รับมาเป็นงานเอกสาร
คือไปช่วยพี่เค้าตรวจสอบเอกสารที่พิมพ์ใหม่ ว่าตรงกับต้นฉบับหรือเปล่า
พอดีว่าอันนี้เป็นความชำนาญส่วนตัว เนื่องจากทำงานกับชุมนุมวิชาการมาก่อน
เรื่องเอกสารจึงค่อนข้างทำมามากพอตัว
นั่นก็คือโดนซัดกลับมาเยอะพอตัวนั่นเอง = ='
จึงพอจะรู้อยู่เหมือนกันว่าปกติเค้าจะพิมพ์ผิดกันตรงไหน
ก็เลยสบายหน่อยนึง
แต่ว่าหลักๆก็คือได้รู้เรื่องของ spec กับการสั่งของ
ว่าต้องดูแลรับผิดชอบในเรื่องอะไรบ้าง
ต้องสั่ง requirement อะไรบ้างไม่ให้เค้าโกงเราได้
สนุกดีเหมือนกันนะ แต่ว่ามันมีนิดเดียวเอง
ยังดูไม่หายอยากรู้เลย :]
จะต้องดูแล คือต้องมีการสั่ง requirement ออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร
นั่นคือจะต้องสามารถตรวจสอบได้ทั้งสิ้น จะมาเบี้ยวกันไม่ได้
ตั้งแต่เรื่องของการสั่งของจากบริษัทผู้ผลิต ว่าจะต้องมีของครบตามมาตรฐานของชิ้นๆนั้น หรือระบบนั้น
แม้ว่าเราจะไม่ได้ระบุเป็นลายลักษณ์อักษรว่าเราไม่ได้สั่ง
ไม่ใช่ว่า เราไม่ส่ง ก็ไม่เอามาให้เราด้วย ทั้งๆที่ตามมาตรฐานแล้วจะต้องมีเหมือนกัน
นั่นก็ืคือเราไม่จำเป็นต้องเขียนของครบเป๊ะทุกชิ้นก็ต้องได้ของครบทุกชิ้นนั้นเอง

ต่อมาก็ดูเรื่องของ spec
ซึ่งเพิ่งจะรู้วันนี้เองว่าเวลาเราพูดว่าสเปกเครื่องนั้น ภาษาทางการเค้าใช้คำว่า "คุณลักษณะเฉพาะ" กัน
จำได้ว่าตอนทำเอกสารวิชา software engineering นี่ไม่รู้จะใช้คำว่าไรดี
ก็เลยทับศัพท์ไปดื้อๆซะอย่างนั้น
ที่ว่าดูแลก็คือจะต้องมีการตรวจสอบว่า spec นั้นเป็นอย่างไรบ้าง
ไม่ใช่แค่ตัว PC หรือ server แต่ว่าต้องทำทุกอย่างเลย
ไม่ว่าจะเป็นหลอดไฟที่มีลักษณะของการประมวลผลเข้าไปจัดการ
หรือว่าเครื่อง scan ลายนิ้วมือของพนักงาน
หรือว่าจะเป็น UPS ก็ตาม

ดูแลไปจนถึงการบรรจุหีบห่อ
ว่าจะต้องมีระบบการบรรจุหีบห่อ และขนส่ง รวมไปจนถึงการติดตั้งให้ลูกค้าได้อย่างมีมาตรฐานนะ
ไม่ใช่ว่าเค้าซื้อ เราก็หาให้ แต่ว่าส่งไปแบบธรรมดาๆ
งี้ของก็พังหมดพอดี

และเรื่องของการรับประกัน
ว่าของแต่ละอย่างต้องรับประกันไม่น้อยกว่ากี่ปีๆ
ส่วนมากก็จะเป็น 2 ปี

วิชาที่เรียนแล้วผุดขึ้นมาในหัววันนี้ก็เยอะอยู่
มากๆก็เห็นจะเป็น Enterprise Application Architecture ละ
คิดว่าถ้าไม่เรียนวิชานี้มาละก็คงไม่ได้ประโยชน์จากการนั่งตรวจเอกสาร spec ของเท่านี้ :]

เวลาที่เหลือก็นั่งอ่านเอกสารที่พี่เค้าให้มาอ่านเล่น
เน้นว่า "อ่านเล่น"
แต่ยื่นมาให้เป็นเอกสารของของที่ขายให้ลูกเค้าชิ้นนึง
เล่มก็บางๆนะ...

RSA enVision essentials (student guide)

600 หน้าเอง ภาษาก็ อังกฤษเอง จิ๊บๆ (ซีด 555)
ก็ไม่ได้โหดร้ายอะไรขนาดนั้นหรอก สนุกดีนะ
อันนี้ทำให้นึกถึงเอกสาร user manual ในวิชา Software Engineering อย่างบอกไม่ถูก
จริงๆไม่ได้เป็น user manual หรอกเล่มนี้ แต่ว่าก็มีส่วนคล้ายอยู่เหมือนกัน
แต่ว่าพออ่านกับเพื่อนๆไปได้ 48 หน้า อีก 2 หน่อก็หมดความอดทน
เหลือเรานั่งอ่านอยู่คนเดียวไปประมาณ 140 หน้า
แล้วก็ปิดหนังสือด้วยความไม่สามารถรับอะไรได้อีกแล้ว 555
มานั่งเปิดดู spec กล้องวงจรปิดกับอ่านบทความเรื่องหุ่นยนต์ในนิตรสารต่อ

พี่ HR เค้าก็ดูจะสงสารนะ ถามบ่อยๆว่าเบื่อไหม
พี่เค้าก็ไม่ได้เป็น engineer ก็คงไม่สามารถ assign งานอะไรให้ได้
พี่ที่เป็น engineer ก็ดูยุ่งมากกกกกก
ก็เข้าใจแหละ :]

อันนี้เป็นเรื่องระบบของแต่ละบริษัทจะจัดการแล้วละ
ว่ามีนโยบายเรื่องของการรับเด็กฝึกงานอย่างไร
ได้คุยกันระหว่างคนรับเด็กมาฝึก กับคนให้งานจริงๆมากน้อยแค่ไหน
มองเห็นว่าตรงนี้เป็นเรื่องของโอกาสหรือไม่
หรือมองเป็นอุปสรรค
หรือมองเป็นการศึกษา
หรือมองเป็นการสร้างภาพลักษณ์
หรือเป็นการโฆษณา
หรือเป็นการช่วยเหลือผู้อื่น
หรือว่าไม่ได้คิดไรเลย
นานาจิตตัง
เราก็ไม่มีทางรู้ได้ว่าเค้ามองว่าเป็นอะไร
ก็ไม่มีถูกไม่มีผิดนั่นแหละ

เป็นอีกวันหนึ่งที่ได้นั่งลงแล้วคิด

Thursday, April 19, 2012

Internship: Day2

วันนี้เป็นวันที่ 2 แล้วสำหรับการเข้าฝึกงาน
บริษัท BAY computing ที่ Jasmine international tower

การเดินทางในวันนี้ลองเปลี่ยนมาก็คือ
นั่งรถเมล์สาย 104 มาจาก The Mall งามวงศ์วาน ลงที่ห้าแยกปากเกร็ด
ข้ามฝั่ง แล้วต่อรถเมล์ 166 มาลงแถวตึกจัสมิน แล้วข้ามฝั่งมา
แต่เทียบดูแล้ว การมาจากทางเลียบคลองประปาดูท่าจะติดน้อยกว่า
เพราะทางนี้ดันไปเจ๊อะแยกแครายเข้านั่นเอง ก็ติดยาวกันไปหน่อย
เพียงแต่ว่าถ้าไปทางเลียบคลองประปานี่ไม่มีรถเมล์ไป ต้องนั่งแทกซี่ไปเอง

วันนี้มาถึงก็เกิดอาการหิวโซ เพราะมาทานข้าวที่บ. ปกติจะทานที่บ้านเลย
แต่ก็ยังมาถึงทันเวลาแบบสบายๆ เพราะออก 7 โมง
มาถึงก็ประมาณ 8 โมงนิดๆ มีเวลาซื้อข้าวกินแบบชิวๆ

พอเข้างาน 9 โมงก็ได้เจอกับพี่ที่เป็น network manager เลยวันนี้
พี่เค้าก็ดูๆประวัติเราทั้ง 3 คน พอพี่ HR ถามว่า ให้น้องทำ pretest เลยไหม
พี่ network manager ก็บอกประมาณว่า
โอ้ย ไม่ต้องหรอก ระดับนี้แล้ว
น่านนนน ลอยเลย (ว่าแต่ว่าระดับนี้นี่ระดับไหนก็ไม่รู้เหมือนกันนะ 555)

แล้วก็ให้งานเล็กๆมาทำงานหนึ่ง เรื่องมันมีอยู่ว่า
พี่เค้าใช้ application ตัวนึงที่ใช้งาน SIP protocol ชื่อว่า Acrobits Softphone

Acrobits Softphone - SIP phone for VoIP calls
ใครสนใจก็เข้าไปหาโหลดกันได้ มีทั้งบน iOS และ Android

อธิบายกันก่อน 
(อันที่จริงผู้เขียนเองก็เพิ่งจะรู้จักมันเอาเมื่อเช้านี้เท่านั้น
ขออธิบายตามแบบที่เข้าใจพอคร่าวๆแล้วกัน)
ก็คือ
เวลาเราอยู่ในองค์กรเนี่ย เราสามารถใช้เบอร์ภายในโทรหากันได้
แต่ว่าจะใช้ไม่ได้เมื่อเราออกมานอกองค์กรแล้ว
ตรงนี้แหละที่ Application เข้ามาช่วยให้เรายังสามารถใช้เบอร์ภายในได้อยู่
แม้จะออกมาข้างนอก
ซึ่ง app เหล่านี้ก็ต้องใช้ SIP protocol ซึ่งเป็น protocol ในชั้น application ในการสื่อสาร
การใช้งานก็เหมือนกับการคุยกันผ่าน internet หรือว่า VoIP นั่นเอง

ปัญหาก็คือเรื่องของ สายซ้อน
ซึ่งถ้าใช้บน Android นั้นจะไม่มีปัญหาอะไร
คือถ้าเราใช้ SIP คุยกันอยู่ แล้วมีคนอื่นโทรมาหาเรา
android จะให้ user เลือกได้ว่าจะ call waiting สายซ้อน
แล้วคุยต่อกับสายที่คุยไว้แต่เดิมได้
แต่ว่าใช้ไม่ได้พอมารันบน iphone
คือบน iphone นั้น user จำเป็นจะต้องตอบสนอง
ว่าจะ accept หรือ decline สายที่โทรเข้ามาทีหลังอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น
ไม่สามารถคุยต่อกับสายที่คุยไว้แต่เดิมได้
ตรงนี้ที่พี่เค้าอยากให้หา solution มาให้หน่อย เพราะว่าพี่เค้าลองอยู่นานแล้ว

เราสามหัวหลังจากได้รับปัญหามาก็สุมหัวกัน
หาๆๆ ลองๆๆ กับ app VoIP  อื่นๆเท่าที่จะลองได้
ก็คือได้ลองกับ LINE กับ Skype ระหว่าง android กับ iphone
แล้วก็ได้ข้อสรุปออกมาตามที่เข้าใจกันว่า
เป็นปัญหาที่สองส่วนคือ OS และ Application
แต่ว่าสามารถแก้ปัญหานี้ได้ด้วยการใช้ application ที่ support call waiting feature
ซึ่งเท่าที่หาๆดูก็จะมี Groundwire Application

Groundwire - Business Caliber SIP phone

ซึ่งก็ผลิตโดย Acrobits เจ้าเดิมนั่นเอง
ส่วนว่า  2 app มันต่างกันยังไง เข้าไปดูตารางเปรียบเทียบได้ตาม link นี้เลย
จะอยู่ด้านล่างๆ อ่านง่ายดี
สังเกตว่าจะเจ้า app นี้มันจะ support call waiting feature ด้วย
แต่ว่าจะต้องทำการ setting ก่อน ตาม youtube นี้เลย
ผลที่ได้ก็จะดูดีมีชาติตระกูล ตาม youtube นี้

ถ้าอ่านๆดูอาจจะเหมือนไม่มีอะไรแต่ก็หาอยู่ประมาณ 3 ชั่วโมงเลยทีเดียว ^^
เป็นงานแรกเล็กๆง่ายๆที่ผ่านไปได้ด้วยดี (มั้ง)
ที่ผ่านไปได้ด้วยดีเพราะว่ามีเพื่อนช่วยๆกันด้วยแหละ
หวังว่าจะสามารถใช้ได้จริงและจะช่วยเหลือพี่เค้าได้จริงๆบ้าง
ยังไม่รู้เหมือนกันว่าที่ต้องไปออก site งานคนเดียวนี่จะไหวรึเปล่าน่อออ

Wednesday, April 18, 2012

การฝึกงานวันแรก @BAY computing

วันนี้เป็นการฝึกงานวันแรกเลย ที่บริษัท เบย์ คอมพิวติ้ง
ตั้งอยู่ที่ชั้น 18 ตึกจัสมิน ถ.แจ้งวัฒนะ


ต้องบอกว่าตึกสวยมากๆเลย แล้วก็ดูสะอาดด้วย
มีโรงอาหารข้างๆตึก ราคาก็ปกติ ไม่ได้แพงเวอร์ ประมาณจานละ 25-40 บาท
ตอนแรกเข้าไปก่อนเวลา พี่ๆเค้าก็น่ารักมากเลย มาต้อนรับให้เข้าไปข้างใน ติดต่อให้
ถึงแม้ว่าจะยังไม่ถึงเวลางาน
ตรงนี้เป็นอย่างหนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่า คนบางคนที่เคยพบ ถ้ายังไม่ถึงเวลาทำงานเค้าก็ไม่รับอะไรเลย
ซึ่งคิดว่าคนแบบนั้น น่าจะอยู่ในสังคมยากซักหน่อย
ต่อมาพี่ที่ดูแลก็ให้ไปกรอกใบ ซึ่งเป็นใบสมัครงาน เผื่อเอาไว้ว่าตอนจบอยากมาทำงานที่นี่
แล้วก็ช่วยดูให้ทีละคนเลย ว่าแต่ละข้อตอบเป็นยังไง ถ้ายื่นในการสมัครงานจริงๆ ควรจะเขียนอะไรไปบ้าง เราต้องปรับปรุงการเขียนเรื่องอะไรบ้าง การไปสมัครงานจริงๆต้องเอาเอกสารอะไรไปบ้าง
อันนี้ก็เป็นข้อดีอีกเหมือนกัน

ส่วนเรื่องบรรยากาศในการทำงานที่นี่ค่อนข้างจะเป็นกันเองมากๆๆๆ
ก็ดีคือไม่เกร็ง มีอะไรก็กล้าถามได้ง่ายๆ ไม่ต้องเป็นทางการมากมาย
แต่ว่าพี่ๆส่วนมากก็งานยุ่ง ไม่ค่อยมีเวลามาสอนทีละเรื่องๆเท่าไร
แต่ก็นั่นแหละ ก็ยังรู้สึกว่าได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง จากการนั่งเฉยๆ
มองดูคนอื่นทำงานก่อนในวันแรก
แต่ว่ามองดูแล้วก็เกิดความคิดที่หลากหลาย
อย่างหนึ่งที่สัมผัสได้ก็คือ มีความกลัวในการจะต้องออกไปทำงานลดลง
มั่นใจขึ้น (นิดนึง..)
เพราะคิดว่า บริษัทต่างๆ ไม่ได้หวังว่าเราจะต้องเก่งกาจมาจากไหนเลย
หนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานนี่ก็คือ เรารู้มาจากที่เรียนตั้งเยอะแล้วด้วยซ้ำ
รู้ตามที่เรียนในมหาลัย จับหลักให้ได้ แล้วมาเรียนต่อตอนทำงานก็ได้
สิ่งที่ดูเหมือนจะสำคัญกว่าคือทักษะในการทำงานร่วมกับผู้อื่น
ขั้นตอนต่างๆ และความรับผิดชอบในงานที่ทำ
ดูจะเป็นสิ่งสำคัญกว่าความเก่งในเรื่องของวิชาการ
ซึ่งคิดว่าอาจจะเป็นเพราะถ้าเปรียบเทียบความรู้กับนิสัย
อย่างหลังมันเปลี่ยนยากกว่า



วันนี้เป็นแค่วันแรก คงไม่แปลกที่ยังไม่ค่อยมีงานอะไรให้ทำเท่าไร
เพื่อนๆที่ไปฝึกหลายๆที่ก็ไม่ได้ทำอะไร
แต่ก็คือนับว่าเป็นการเริ่มต้นที่โอเคอยู่เหมือนกัน
ได้เข้าไปรู้เรื่องระบบการทำงาน เรื่องบรรยากาศของบริษัท
นี่คงเป็นข้อดีอย่างหนึ่งที่ไม่ได้เลือกฝึกงานที่มหาวิทยาลัย
แต่ว่าก็คือนั่นแหละ มันก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันทั้งนั้น
ถ้าฝึกที่มหาลัย ก็จะมีข้อดีทางด้านการเดินทางสะดวกกว่า ที่ทางก็รู้จักอยู่แล้ว

พูดถึงเรื่องมหาวิทยาลัยแล้ว ก็มีติดใจอยู่เรื่องหนึ่งคือ
วันนี้มีเพื่อนที่มาฝึกงานด้วย เล่าให้ฟังว่า เมื่อเช้าเปิดดู fb แล้วมีคนตั้ง status ประมาณว่า
วันนี้เริ่มต้นการฝึกงาน วันนี้ไม่ได้มาแต่ตัว แต่ว่าแบกชื่อเสียงมหาวิทยาลัยมาด้วย

ฟังแล้วก็รู้สึกชื่นชม ^^

ซึ่งมันก็จริง ก็เพราะว่าเรามาในนามของมหาวิทยาลัย
เป็นผลผลิตของมหาวิทยาลัย เราทำตัวอย่างไร ก็สื่อถึงความคิด ทัศนคติและการดำเนินชีวิตของเรา
มีคำพูดหนึ่งที่พี่ที่บริษัทบอกก็คือประมาณว่า
น้องมีชื่อสถาบันการรันตีอยู่ พี่ไว้ใจน้องได้มากกว่าหลายๆสถาบัน

ฟังแล้วก็แอบยืดเล็กๆไม่ได้จริงๆ 555