Thursday, October 11, 2012

รายการปั้นฝัน

วันนี้ได้มีโอกาสเข้าไปอยู่ในบรรยากาศการอัดรายการ "ปั้นฝัน" ของ Eduzones ซึ่งจะเป็นรายการวิทยุที่แนะนำเกี่ยวกับการเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย และมีการอัดวีดีโอเพื่อนำไปเผยแพร่ต่อด้วย คราวนี้เกือบจะได้เป็นตัวแทนของภาควิชาไปให้สัมภาษณ์แล้ว แต่ว่าพอคุยกันแล้วคิดว่าเป็นเพื่อนอีกคนหนึ่งจะเหมาะสมกว่า เลยไปเป็นเพื่อนเพื่อนแทน ^ ^

เป็นครั้งแรกที่เคยเข้าห้องอัดเลยอยากจะมาแชร์สิ่งที่ต้องเตรียมตัวและบรรยากาศในการให้สัมภาษณ์ของนิสิตที่ต้องไปพูดถึงเรื่องการเรียน รวมไปถึงการเป็นนักเรียนที่จะเข้ามาฟังเสียหน่อย

บรรยากาศในการอัดรายการในครั้งนี้ เริ่มตั้งแต่ประมาณ 9.30 น. ที่ RAC สาขา ม.เกษตร เป็นไปอย่างง่ายมากๆ ในห้องเล็กๆ มีกล้องโซนี 1 ตัว และไมค์ดีๆ 1 อันเท่านั้น และถึงแม้จะมีการอัดวิดีโอ แต่ก็ไม่ได้มีช่างแต่งหน้าแต่อย่างใด เอาเป็นว่าใครอยากสวยอยากหล่อก็ต้องโบ๊ะกันมาเองละจ้า สามารถรับชมวีดีโอรายการดีๆแบบนี้ได้จากหลายทางนะ ทางหนึ่งคือ YouTube ใน Channel ที่ชือว่า Eduzones Webmaster

พิธีกรผู้ดำเนินรายการมีสองท่าน เป็นพี่ผู้ชายและพี่ผู้หญิง การอัดรายการแบบนี้ก็ต้องพูดสียงดังฟังชัดกันหน่อย อัดรวดเดียวไม่มีคัทอะไร แต่สำคัญที่ว่าทักษะการพูดนั้นนอกจากว่าจะดีแล้ว ยังตัองรับส่งกันได้ดีอีกด้วย

สำหรับนิสิตที่จะต้องไปให้สัมภาษณ์นั้น สิ่งที่ต้องเตรียมก็คือ

  1. หน้า เตรียมหน้าให้พร้อมจ้า 55 ต่อมา 
  2. เตรียมข้อมูล ข้อมูลที่จะต้องพูด อันนี้น้องๆที่ฟังก็ต้องบอกว่าไม่จำเป็นต้องเชื่อทั้งหมด คนที่พูดก็เป็นนิสิต ไม่ได้เป็นอาจารย์ที่ดูแลเรื่องของการรับเข้าศึกษาต่อโดยตรง ทางที่ดีคือควรจะเช็คกฏกติกาเองกับเว็บไซต์อยู่ดีเพราะว่ากฏการรับเข้าก็ยังไม่ค่อยนิ่ง เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาทุกปี (สำหรับคณะวิศวะ ม.เกษตร เข้าไปดูรายละเอียดได้ที่นี่เลย http://admission.eng.ku.ac.th/
  3. เอกสารยืนยันการรับเงินต่างๆตามที่รายการแจ้งมา 


ส่วนเรื่องว่าเราจะพูดอะไรนั้น ทางรายการไม่ได้มีคำถามมาให้ก่อน ถามสดตอบสดเลย เพราะฉะนั้นต้องมีไหวพริบดีกันหน่อย ที่สำคัญคือ ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก ว่าคนฟังเป็นใคร เขาต้องการอะไรจากเรา


การมีรายการประเภทนี้ก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ผู้ฟังก็ต้องระมัดระวังในการฟัง เพราะการสื่อสารนั้นก็บิดเบือนและถูกตีความได้หลากหลาย บางทีการฟังความเห็นส่วนตัวของบุคคลอื่น ก็ทำให้คนฟังอาจจะเปลี่ยนทิศการตัดสินใจไปได้ง่ายๆ ยกตัวอย่างที่เจอมากับตัวเอง วันนี้ได้ไปเข้าห้องอัดรายการที่บอกถึงการเข้าเรียนในคณะวิศวะฯ สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ พิธีกรถามว่า คุณสมบัติของผู้ที่เหมาะกับการเรียนภาคนี้คืออะไร ตอบว่าควรจะมีความใฝ่รู้ในเรื่องของข่าวสารเทคโนโลยี ซึ่งเป็นคำตอบที่จริงมาก ถูกต้องมากๆ แต่ฟังแล้วย้อนกลับมาคิดถึงตัวเองว่า ถ้าตอนที่เราเองจะเลือกเข้าเรียนสาขานี้ ตอนที่อยู่ม.ปลาย ถ้าได้มาฟังเทปนี้ คงจะตัดคณะนี้ออกจากตัวเลือกไปเลย เพราะว่าไม่ได้เป็นคนที่รู้เรื่องหรือว่าตามข่าวสารเรื่องไอทีอะไรเลย แต่ว่าก็ยังสามารถเข้ามาได้ สามารถเรียนได้ เรียนรู้เรื่อง เข้าใจได้ อยู่ในสังคมของภาควิชาได้อย่างมีความสุข ถามว่าแล้วถ้าแบบนั้นคำตอบนี้จะจริงได้อย่างไร คำตอบคือว่า ตอนนั้นไม่ได้สนใจจะติดตามข่าวสาร แต่ว่าเข้ามาแล้ว ทุกอย่างมันก็สนับสนุนให้เรารู้ตัวเองว่าเราต้องอ่านข่าวไอทีนะ เราต้องตามเทคโนโลยีนะ เราถึงจะอยู่ในฟิลนี้ได้ แต่ถามว่าเด็กม.ปลายที่จะเข้าเรียนภาคนี้ต้องตามข่าวไอทีทุกคนเหรอ จึงจะเรียกว่าเหมาะสมที่จะเข้าคณะนี้ ตอบว่าไม่ เข้ามาแล้วค่อยเรียนรู้ ค่อยมาอัพเดทตัวเองก็ยังได้

เพราะฉะนั้น ไม่อยากให้น้องๆที่ฟังข่าวสารใดๆแล้วจะเชื่อไปเสียหมด ไม่งั้นจะเป็นการปิดกั้นตัวเอง ส่วนตัวคิดว่าถ้าวันนั้นได้ฟังพี่คณะวิศวะคอมมาพูดแบบนี้ ก็คงจะตัดออกจากคณะที่จะสอบเข้าไปเลยแน่ๆ แต่ถามว่าคำตอบที่ตอบทางรายการไปผิดไหม ไม่ผิดเลย ถูกต้องมากๆว่าจะต้องตามข่าวไอที

นั่นก็เพราะว่าคนเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างจากสัตว์อื่นนั่นเอง

แตกต่างตรงที่ว่าคนเราเปลี่ยนกันได้มากกว่านั้น

MC @ACM-ICPC 2012

วันนี้เพิ่งจะไปเลี้ยงปิดโครงการเนื่องจากได้เป็น staff ผู้ร่วมจัดงาน ACM-ICPC 2012 รอบภาคกลาง จัดที่ม.เกษตร บางเขน ซึ่งผ่านมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ว่าเพิ่งจะว่างมาเขียน blog

ที่ได้ไปร่วมจัดงานในครั้งนี้ ก็คือได้ไปทำหน้าที่เป็นพิธีกรของงานนั้นเอง เลยอยากจะเขียนคร่าวๆเสียหน่อย ว่าบรรยากาศของงานที่จัดเป็นอย่างไร เผื่อว่าจะมีประโยชน์ต่อผู้จัด และผู้สนใจเข้าแข่งขันกัน

การแข่งขัน ACM-ICPC นี้เป็นการแข่งเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยจะแข่งเป็นทีม ทีมละไม่เกิน 3 คน โดยจะมีโจทย์ให้ เป็นกระดาษ และให้เข้าไปเขียนโปรแกรมและทำการส่ง code เข้าไปในระบบ โดยที่ไม่ได้จำกัดภาษาใดภาษาหนึ่งเป็นการเฉพาะในการแข่งขัน โดยผู้เข้าแข่งขันจะเป็นเด็กมหาลัยทั้งหมด แต่ละทีมก็มาจากแต่ละมหาลัยกันไป โดยยังใจดีอีกว่าถ้าในรอบนี้แข่งแล้วไม่ผ่าน อนุญาตให้ไปแข่งแก้ตัวในรอบ Online ได้ ถ้าผ่านก็มีสิทธิ์ไปแข่งรอบถัดไปได้เหมือนกัน

บรรยากาศในการแข่งขันค่อนข้างจะสบายๆ ไม่ค่อยเป็นทางการมากมายเท่าไร อาจจะเป็นทางการหน่อยๆขึ้นกับผู้ที่มาเป็นประธานในพิธีเปิด ระหว่างการแข่งขันนั้น ก็มีกติกาน่ารักๆอยู่ว่า เมื่อทีมใดทำโจทย์ข้อไหนผ่านแล้ว ก็จะมีทีมงานนำลูกโป่งสีของข้อนั้นมาผูกให้ที่โต๊ะทีทีมนั้นนั่ง ถือเป็นสีสันและเอกลักษณ์ของงานนี้เลยทีเดียว ^^

สำหรับบทบาทหน้าที่ของการเป็นพิธีกรคร่าวๆนั้น ก็มีประมาณนี้

  • พิธีเปิด
    • ก็ตามธรรมเนียม คือเชิญประธานกล่าวเปิดงาน พอประธานพูดเสร็จแล้วก็อย่าลืมขอบคุณล่ะ :]
    • อธิบายกำหนดการของทั้งวันนี้
    • เชิญทีมงานขึ้นอธิบายกติกาการแข่งขันในรอบนี้
    • เชิญทีมงานผู้จัดงาน ACM-ICPC รอบ Online มาแนะนำและอธิบายการแข่งขันรอบ Online (ซึ่งเป็นคนละรอบกับรอบนี้นะ) ในครั้งนี้ก็เป็นนิสิตจากจุฬาฯมานั่นเอง
    • อธิบายสิ่งที่อยู่ในถุงผ้าที่ผู้เข้าแข่งขันได้รับจากการลงทะเบียน ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผู้แข่ง เสื้อโค้ชคุมทีม (อาจารย์ที่พานิสิตมาแข่ง) ใบปลิวต่างๆจากผู้สนับสนุน username, password และการเข้าใช้อินเตอร์เนทของโค้ช ฯลฯ
  • ระหว่างการแข่งขัน
    • ดำเนินรายการระหว่างการแข่งขันเล็กๆน้อยๆ เช่น เชิญไปทานของว่าง ไปทานอาหาร ไปถ่ายรูปรวม ฯลฯ
  • ประกาศผล
    • ก็ต้องทำการประกาศผลการแข่งขัน ซึ่งก็มีหลายรางวัลมากเลย ตรงนี้คนเป็นพิธีกรน่าจะต้องฝึกอ่านชื่อทีมมาหน่อย เพราะว่าเด็กสายคอมๆแต่ละคนก็ตั้งชื่อกันได้อ่านยากจริงๆ ^^ แล้วถ้าเกิดเดินไปถามเอาซะตอนนี้ จะทำให้เดาได้ว่าทีมนั้นได้รางวัล (ไม่เซอร์ไพร์สเลย 55)
ป้าย Staff งาน ACM-ICPC 2012 รอบภาคกลาง @KU
สุดท้ายแล้วงานก็ผ่านไปได้ด้วยดี โต้โผใหญ่ของงานนี้ก็คืออาจารย์มะนาวนั่นเอง :]

Thursday, May 10, 2012

Internship: Day 15 [On Site: Day 1]

วันนี้มาออก site ที่ TOT เป็นวันแรก
การมาในวันนี้ืคือมารถส่วนตัว มาทาง local road ที่ขนานกับ ถ.วิภาวดี รถเยอะอยู่นะ คงเป็นเพราะว่าวันนี้ตอนเช้าฝนตก
มาถึงก็เกือบ 9 โมงแล้ว แต่ว่ายังไม่มีใครมาเลย
ตอนเช้าฟ้าครึ้มเชียว

เพิ่งเคยมา TOT เป็นครั้งแรก ใหญ่มากกกก
มีแต่คนใส่เสื้อสีน้ำเงินเดินไปเดินมาเต็มไปหมดเลย

มองไปทางไหนมีแต่สีน้ำเงิน
และแล้วพอพี่ที่รับเรื่องมาถึงก็พาขึ้นไปที่อาคาร 3 ชั้น 2 เป็น office ของ TOT นั่นเอง
เป็นที่ๆพี่ๆจากบ.เบย์ มาอยู่กัน
และเมื่อครบทีมก็คือนักศึกษาฝึกงาน 5 คน พี่ 1 คน ก็ได้ลงไปทำงานกัน
เป็นงานที่ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย ก็คือ install program นั่นเอง
เป็น program ที่จะช่วยเพิ่ม facility ในเรื่องของการ update patch ให้กับ user
ก็คือต้องไป install ลงทุกๆเครื่องนั่นเอง ทุกเครื่องนี่คือทุกเครื่องที่เป็นเครื่องของ TOT และนั่นคือทุกตึก

ทำไปได้หน่อยก็พักทานข้าวเที่ยง
อาหารที่นี่อร่อยดีนะ เป็นโรงอาหาร ราคาก็พอๆกับโรงอาหารที่ตึกจัสมินละ
(วันนี้สอยราดหน้ามา อร่อยมากกก :] )
นั่งทานไปก็มองเห็นโต๊ะไป เจออะไรคมๆนี่เป็นต้องถ่ายรูปเก็บละนะเรา 555

ติดอยู่ที่โต๊ะอาหารที่ บ.TOT คิดว่าเลข 8 นี่คือข้อแปด
คิดว่าถ้ามาทำงานที่นี่ 10 วัน
ใน blog ก็คงมีรูปอะไรเทือกๆนี้ซักสิบรูปละนะ

มาเรียนภาษาอังกฤษวันละคำหน่อยไหม วันนี้ขอเสนอคำว่า 'Dignity' แปลว่า "ความมีเกียรติ"
จะขออธิบายตามความคิดของเราก็แล้วกัน human dignity จึงแปลว่า เกียรติของคน
เขาเอามากล่าวถึงในที่นี้ก็คือให้เราให้เกียรติผู้อื่น
คือมองเห็นคุณค่าความเป็นคนในตัวของเขา
มองยังไงละ? ก็คือต้องมองข้อดีของคนนั้นๆนั่นเอง
เพราะอะไร เพราะว่าทุกคนมีทั้งนิสัยที่ดีและไม่ดี จุดแข็งและจุดอ่อน เก่งและไม่เก่ง อยู่ในคนๆเดียวกันทั้งนั้น
การจะมองเห็นคุณค่าของคนอื่นนั้น คือเราต้องมองให้เห็นก่อนว่าการมีอยู่ของคนๆนั้นได้ทำอะไรซักอย่างให้มันดีขึ้นมาได้
โยนข้อเสียที่เราไม่ชอบในตัวเขาทิ้งไป มองให้เห็นนิสัยดีๆของเขา
แล้วจะพบว่าทุกๆชีวิตมันก็มีค่าพอที่จะได้รับการเคารพทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าจะเป็นเพียงแค่มดตัวหนึ่งก็ตาม

ทานข้าวเสร็จก็ทำตัวว่างๆ ยังไม่ถึงเวลานัด เดินเล่นไปนิดหน่อย อากาศแจ่มใสกว่าตอนเช้าเยอะ

ฟ้าใสๆ ตอนบ่ายๆ @TOT

ตอนที่ถ่ายรูปมีความรู้สึกว่า ฟ้าตอนนี้นี่มันเหมือนในการ์ตูนเลย
ฟ้าสีฟ้าใสๆ เมฆเป็นก้อนๆ ลอยตุ๊บป่องๆ 555

ตอนบ่ายก็เข้ามาทำงานต่อ
พี่ๆ user ที่นี่ก็ใจดีนะ เท่าที่เจอ ตลกๆก็มี แต่เห็นเพื่อนอีกคนบอกว่าเจอ user โหด บอกไม่ให้ลง ไม่ให้ยุ่ง ไรงี้
ก็ทำไรไม่ได้ ปล่อยเค้าไปน่ะ
คนที่เราเจอ มีตั้งแต่รู้ว่า RAM เครื่องไหนต่ำ ไปจนถึงยัง login หน้าจอตัวเองไม่เป็น ก็มี
มีคนนึงเหมือนใช้คอมไม่ค่อยเป็น อายุก็พอตัวน่ะ เป็นเรื่องธรรมดา
แล้วคอมพี่เค้าก็ช้ามากๆเลย พี่เค้าก็เลยให้ไปช่วยดูๆอะไรหน่อย
ที่มันไม่เกี่ยวกับที่ต้อง install อะ 555
แต่เรารู้สึกดีซะงั้นอะ เหมือนได้ช่วยคนอื่น
เพราะคิดว่าถ้ามานั่ง install program เป็นร้อยๆเครื่องก็น่าเบื่อเอาการอยู่นะท่าทาง
แต่ว่าวันนี้เพิ่งวันแรก
ก็เลยยังไม่เบื่อ 555

เลิกงานก็ไวหน่อยล่ะ เพราะว่า TOT เค้าเลิกงาน 5 โมง
เราก็ต้องเลิกพร้อมเค้าน่ะ
เพราะว่าต้องใช้เครื่องเค้าทำ
ก็เลยกลับบ้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืด

Wednesday, May 9, 2012

Internship :Day 13,14

เนื่องจากวันจันทร์หยุดก็เลยมาทำงานวันอังคารเลย
ไม่ขอพูดเรื่องวิชาการจริงๆจังๆก็แล้วกัน รู้สึกว่าเขียนแล้วไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองเท่าไร แหะๆ

ทั้ง 2 วันนี้ก็คล้ายๆกัน ก็คือ
มีพี่มา brief เรื่องที่จะไป TOT ให้ฟัง ว่าต้องทำอะไรบ้าง
ซึ่งก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร แค่ลง program เท่านั้น
แต่ว่าที่ดูจะยุ่งๆคือ ต้องเข้าไปคุยกับ user
ซึ่งตรงนี้แหละที่พี่เค้าบอกว่า เราจะได้ประสบการณ์
แต่จริงๆน้าา สำหรับเรา เรื่องคุยเรื่องคอมๆให้คนที่ไม่เข้าใจคอมฟังนี่ไม่ใช่เรื่องยากเลย
เพราะว่าถ้าเราเข้าใจด้วยคำพูดไหน คนอื่นก็สามารถเข้าใจได้ด้วยคำพูดแบบเดียวกันเนี่ยแหละ = ='
แต่คิดว่าสิ่งที่แตกต่างกันกับที่เคยทำก็คือเรื่องของความกดดัน
หนึ่งคือลูกค้าก็มองว่าไปในนามบริษัท ((จะไปทำเค้าเสียชื่อเสียงป่าวว้าา))
สองคือพี่ๆในบริษัทก็จะมองว่ามาในนามมหาลัย ((แบกเกษตรศาสตร์ไว้บนบ่าซะงั้น))
สามคือ เพื่อนๆจากม.อื่นก็จะมองในนามของเด็ก วศ.คต.เกษตร ที่กล่าวกันนักหนาว่าเก่งอย่างงั้นเก่งอย่างงี้ ที่หนึ่งนู่นนี่ ((ไอ้ที่พูดมาน่ะเราไม่เคยได้รางวัลอะไรกับเค้าเล้ย))
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าบ่าแค่นี้จะแบกอะไรนักหนา
แต่นิสัยคิดมากเรื่องไม่เป็นเรื่องก็ยังแก้ไม่หายสักที

ต่อมาหลังจากฟังเสร็จก็ได้งานใหม่คือทำ web ของบริษัท
ที่คิดคือเหมือนที่ทำ project วิชา database เลย
แต่ว่า database ไม่ได้อลังการแบบนั้น
คือตารางอะเยอะอยู่ แต่ว่าไม่ได้โยงซับซ้อนอะไร
แต่ประเด็นคือ เขียน php กับ javascript ยังไม่ค่อยจะเป็นเลย T. T
เซ็งตัวเองอยู่เหมือนกัน ทำไมเห็นเพื่อนๆหลายๆคนงมๆเดี๋ยวก็ทำเป็น
เราไม่เห็นเก่งอย่างงั้นบ้างเลย
แต่ช่างมันเถอะ คงจะเป็นเพราะว่าเราให้เวลามันน้อยกว่าคนพวกนั้นละมั้ง
หันมามองตัวเอง ว่างทีก็ไปทำโน่นทำนี่เยอะแยะ
ซึ่งไอ้ที่ว่าเยอะแยะนั้นไม่ค่อยจะเกี่ยวกับคอมๆที่เรียนเล้ยย
จะว่ามีคอมหน่อยๆก็คือเป็นงานฝ่าย IT กับงานฝ่ายโสตฯ ซะมากกว่า
จะเป็นบรรดา Word, Excel, Illustrator(นิดนึง), Photoshop(อีกนิ๊ดนึง) แล้วก็ไปโน่นเลย ตัดต่อวีดีโอ ทำ sound slide รวมไปถึงยกคอมไปๆมาๆ = ='

เรื่องทำ web ไม่ขอเขียนแล้วกัน เพราะไม่ค่อยได้ทำเท่าไร
ที่ได้ทำจริงๆก็คือออกแบบ database แล้วก็ทำ ER diagram, schema diagram
เออมีความรู้ใหม่นิดนึง คือใน MySQL Workbench ถ้าเราวาด schema ได้แล้วมันสามารถกด Ctrl+G แล้วจะเป็นการ import มาลง database ในเครื่องเราได้เลย
ตอนทำ project db ก็นั่ง copy code อยู่ได้ 555

ก็ไม่ค่อยมีอะไรเป็นพิเศษ แล้วพรุ่งนี้ก็เตรียมไป TOT
ถ้าฟังจากที่พี่เค้าพูดคือ
การทำงานนั้น เก่งแต่คุยกับ user ไม่เป็นนี่คือจบ
จบนี่คือจบจริงๆนะ คือเค้าไม่จ้าง คือไม่มีงาน
ซึ่งเรื่องพูดให้เขาเข้าใจนี่เราไม่ห่วง
เราห่วงเรื่องเราไม่เข้าใจเองซะละมากกว่าเนี่ยซี่...
เดี๋ยวเจอ user ฉลาด ถามลึก ตอบไม่ได้นี่ ไม่รู้จะเป็นยังไงเลย

ก็ไม่รู้จะเจอ user อย่างที่พี่เค้าเล่าๆกันมาหรือเปล่าน้อ..

Saturday, May 5, 2012

พิธีปิดโครงการวิศวบริการ 23

"ความเป็นครู เป็นภาระที่หนัก ที่ยากยิ่ง
ความสำเร็จนั้นอยู่ที่ศิษย์มีความรู้ความสามารถ
โดยเฉพาะมีคุณธรรมในการดำเนินชีวิต
ซึ่งเป็นหน้าที่ ของครู"

เป็นคำพูดที่ไปเจอมา ชอบมากเลยถ่ายรูปเก็บไว้
เพราะว่ามัน... ไม่รู้สิบอกไม่ถูก
คิดว่าคงเข้าใจกันดี

มาพูดถึงวันนี้ที่ไปร่วมงานพิธีปิดโครงการวิศวบริการครั้งที่ 23 
ที่จัดโดยชุมนุมวิชาการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เกษตร บางเขน กันดีกว่า

18 วันผ่านไปไวจริงๆ กับคนที่ไม่ได้มาทำโครงการเต็มตัวอย่างเรา
จำได้ว่าตอนปีที่แล้วที่จัดนี่รู้สึกว่ามันนานมากเลยทีเดียว
แต่ว่าทำไม มันสั้นเหลือเกินในปีนี้
แต่สิ่งหนึ่งที่ีรับรู้ได้มากเลยก็คือ
น้องๆพี่ๆยังคงทุ่มเทแรงกาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง แรงใจ
และโดยเฉพาะอีกคือน้องๆทีมทำงาน
แม้ว่าเราจะไม่ได้เห็นโครงการมากนัก
แต่เราเห็นงานที่ออกมา
แล้วก็รู้ดีว่าเหนื่อยแค่ไหน
กว่าจะจัดโครงการนี้ได้

พิธีปิดวันนี้จัดที่ 0410 ตึกชูชาติ กำภู คณะวิศวกรรมศาสตร์
น้องๆมาเต็มห้องเลย ต้องเสริมเก้าอี้เพียบ ^^
สมาชิกชุมนุมจัดการแสดงทั้งฮาทั้งซึ้ง
มีน้องๆออกมาพูดขอบคุณด้วยละ
มีน้องขอเวทีมาร้องเพลงเล่นกีต้าร์ให้ฟังด้วย
เป็นกันเองมากๆเลย
แอบเห็นน้องๆหลายคนร้องไห้นะเนี่ย
(พี่ๆเองก็มีบางคนแอบร้องนะ ^^)

แล้วพอเสร็จก็ลงมาถ่ายรูปกันด้านล่าง คนเยอะมาก บางคนก็อยู่ด้านหลังอีก กล้องมือถือเก็บไม่หมด
นั่นก็เพราะน้องโครงการปีนี้มีอยู่ประมาณ 400-500 คนได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าวันนี้มาเท่าไร
ปีนี้รับได้น้อยหน่อยเพราะว่ามีปัญหาเรื่องห้องเรียน ก็ดีที่ห้องนึงจะได้มีคนน้อยๆหน่อย เรียนไปได้เร็ว
การได้มาพิธีปิดวันนี้ เป็นการตอกย้ำเรา ให้มั่นใจได้อย่างหนึ่ง
คือ ในโลกใบที่อยู่ยากๆใบนี้
ยังคงมีกลุ่มคนที่อยากจะทำอะไรให้คนอื่น
โดยไม่ได้หวังอะไรตอบแทน
แล้วเมื่อมีชุมนุมวิชาการขึ้น
บางส่วนของคนเหล่านี้จึงได้มารวมตัวกัน ทำสิ่งต่างๆให้เกิดขึ้น
ไม่ใช่แค่เพียงคิดอยู่ในใจ
ไม่ใช่แค่เพียงคิดอยู่คนเดียว
แต่ทำออกมาจริงๆ เหนื่อยจริง เครียดจริง
ในขณะที่เพื่อนๆคนอื่นมีเวลาว่างก็ไปเที่ยว
สมาชิกชุมนุมวิชาการต้องเตรียมสอน ต้องขอห้องเรียน ต้องประชาสัมพันธ์โครงการ
ต้องออกข้อสอบ ต้องทำเอกสาร ต้องแก้เอกสาร ต้องทำหนังสือ ต้องขอกล่องพยาบาล ต้องเชิญคณบดี
ต้องรับโทรศัพท์ครู นักเรียน ผู้ปกครอง ต้องแก้ปัญหา ต้องประชุม ต้อง update web ต้องซีรอกซ์ ต้อง... 
ฯลฯ
ทำไมต้องทำ?
นั่นสิทำทำไมนะ
ไม่รู้สิ รู้แต่ว่ายังคงอยากทำ และยังคงดีใจที่ยังคงมีคนทำต่อ
แม้จะเหนื่อยมากก็ตาม

คำว่า "ครู" นั้น มีรากศัพท์มาจากภาษาบาลีว่า "ครุ"
ซึ่งครุ แปลว่าหนัก
การเป็นครูนั้น ไม่ได้เป็นกันง่ายๆเลย
ไม่ใช่สักแต่ว่าทำงานเสร็จ จึงเป็นครูได้
เป็นครูในความคิดของเรานั้นเป็นงานที่หนัก เพราะว่าเป็นการสร้างคน
มันต่างกับการสร้างสิ่งก่อสร้างตรงนี้ละ
เราให้ความรู้เขาไปแล้ว ไม่ใช่แต่เพียงเท่านั้น จึงเรียกว่าครู
แต่ว่าต้องให้ทางเดินที่ถูกด้วย
เพื่อที่ว่าเขาจะได้เอาความรู้นั้น ไปใช้ในทางที่ถูกต้อง
ซึ่งสุดท้ายแล้ว มันก็จะเป็นประโยชน์กับเขาเองทั้งนั้น
ซึ่งการสอนให้เป็นคนดีนั้น
มันยากกว่าสอนให้เป็นคนเก่งไม่รู้กี่เท่า
ส่วนตัวเราเอง คิดว่า
การสอนที่ดีที่สุดนั้น คือการเป็นตัวอย่างที่ดี
ไม่ได้บอกว่าเราหรือสมาชิกชุมนุมทุกคนเป็นคนดีไปเสียหมด
แต่ทุกคนก็พยายามเป็นคนดี และแน่นอนไม่มีใครดี 100%
แต่อย่างหนึ่งที่ได้แสดงออกไปเป็นตัวอย่างแล้วคือ
การมีจิดใจที่อยากจะให้
ให้ออกไปโดยไม่ได้หวังอะไรเลยนะ
ที่จะตอบแทนกลับมา

อย่างน้อยๆ วันนี้เราค่อนข้างมั่นใจ
ว่าโครงการนี้สามารถปลูกฝังความคิดเล็กๆนี้เอาไว้ให้กับน้องๆที่เข้าร่วมโครงการได้
ความคิดที่คิดจะให้ออกไป
เพราะว่าถ้าได้ลองให้ออกไปแล้ว มันก็จะเกิดการให้ต่อไปเรื่อยๆ
นี่หรือเปล่า คือความมหัศจรรย์ที่เราสามารถสร้างขึ้นเองได้
แล้วจะรู้สึกว่า
โลกนี้มันอยู่ง่ายขึ้นกว่าเดิมตั้งเยอะ

Friday, May 4, 2012

Hardware Firewalls & Software Firewalls


อะแฮ่ม ขอมีสาระจริงๆจังซักอันนะ นี่น่าจะเป็นครั้งเดียวเลยล่ะ 555+

จากคราวที่แล้วที่ได้บอกไปว่าไปอ่านเรื่องของ firewall ที่เป็น hardware กับ software
ก็สรุปได้คร่าวๆ มาจากเว็บนี้ และเว็บนี้ ได้มาประมาณนี้จ้าา


firewall มีหน้าที่คือวิเคราะห์ข้อมูลที่ส่งเข้ามา โดยอยู่บนพื้นฐานของการ config ช่วยดูแลในเรื่องของความปลอดภัย โดยจะอนุญาตให้ remote access เข้ามาใน private network ได้เมื่อมี secure authentication certificates และ login
firewall มีทั้งแบบ hardware และ software


Hardware Firewalls

แค่เอามาเป็นตัวอย่างน่อ ไม่ได้ค่าโฆษณานะ ^^


     มีทั้งแบบที่้เป็นเครื่อง firewall เองอย่างเดียวเลย หรือว่าเป็นพวก broadband router ก็จะเป็น firewall อยู่ในตัว
     firewall แบบ hardware นี้ถูกเรียกว่าเป็น first line of defense คือเจอก่อนเลย เป็นหน้าด่าน สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยอาศัยการ config เพียงเล็กน้อยหรือว่าไม่ต้อง config เลยก็ยังได้ มันจะสามารถ protect ทุกๆเครื่องที่อยู่ในวง local network นั้น

     เครื่อง hardware firewall ส่วนใหญ่จะมี 4 port เพื่อต่อกับเครื่องคอม แต่ว่าถ้าสำหรับ network ขนาดใหญ่ เช่นพวกธุรกิจก็จะมี solution ที่เป็น network firewall ขึ้นมา

     hardware firewall นี้ใช้วิธีการที่เรียกว่า packet filtering คือดู header ของ packet ที่วิ่งเข้ามา ซึ่งจะบอกถึง source, destination เอาไว้ firewall จะเอาค่าตรงนี้มาเปรียบเทียบกับกฏที่มันมีอยู่เพื่อที่ใช้ในการตัดสินใจว่าจะ drop packet ทิ้งหรือไม่
     หรือบางรุ่นจะใช้เทคนิคที่หรูหรากว่านั้นคือ  Stateful Packet Inspection (SPI)
คือจะดูลักษณะอื่นๆของ packet นอกจากส่วนที่เป็น IP source, IP destination เช่น ดูว่ามากจาก local network หรือจาก internet

     ในเรื่องของการ test firewall ว่าสามารถทำงานได้ดีนั้น เราสามารถใช้ third-party test software ได้

     ข้อเสียของ hardware firewall ก็คือมัน block port ที่ถูก config ไว้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น port ก็มีด้วยกัน 65,000 ports จึงแทบจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่า port ไหนคือ port ที่โปรแกรมใช้งานอยู่แน่ๆ และต้องเป็น port ที่ถูกต้อง
     ซึ่งเจ้าการ block port นี้ก็อาจจะส่งผลให้ packet ที่ไม่ได้เข้ามาทำอันตรายให้เข้ามาไม่ได้ เช่น การ block e-mail spam  ก็จะมีผลต่อการใช้งานโปรแกรม Microsoft Outlook หรือ Mozilla Thunderbird เพราะว่าทำงานกับ port 25 (SMTP) นั่นเอง


Software Firewalls
อันนี้ก็เป็นแค่ตัวอย่างนะจ๊ะไม่ได้เกี่ยวข้องเชิงธุรกิจน่อ


     เป็น firewall ที่ install อยู่ในเครื่องคอมของเรา และเราก็สามารถเข้าไปควบคุมมันได้ด้วย
     software firewall นี้จะสามารถป้องกัน Trojan, worms หรือว่า block application ที่ไม่ปลอดภัยได้

     ข้อเสียของมันคือ จะป้องกันเฉพาะเครื่องคอมที่ install มันอยู่เพียงเครื่องเดียวเท่านั้น ไม่ได้ครอบคลุมทั้ง network เหมือนกับแบบ hardware firewall ถ้าจะทำหลายเครื่องก็ต้อง install หลายครั้ง ซึ่ง software firewall ที่ดีนั้นควรจะ run อยู่บน background และใช้ system resource ให้น้อยๆ



สรุปแล้วก็คือ..
ระหว่างแบบ hardware และ software นั้นมีความแตกต่างกันมาก แต่ก็ป้องกันคนละอย่าง ทางที่ดีนั้นคือ เราควรจะต้องใช้ทั้ง 2 อย่าง และต้องหมั่น update บ่อยๆ

จะเปรียบเทียบง่ายๆก็เหมือนกับว่า hardware firewall เป็นเหมือน club bouncer หรือ doorman คือคนที่ตรวจว่าใครเข้าผับได้ไม่ได้ โดยดูว่าใครผิดกฏเช่นอายุไม่ถึงก็ห้ามเข้า หรือว่าต้องเป็นคนที่ได้รับเชิญเท่านั้น เป็นต้น
ส่วน software firewall นั้นก็เหมือนกับ ร.ป.ภ. มีไว้ make sure ว่าไม่มีใครเข้ามาทำอันตรายต่างๆหรือว่าทำอะไรไม่ดีข้างในผับ แล้วก็ไม่ได้ขโมยอะไรออกไปด้วยนะจ๊ะ


ปล. อยากเห็นยามไทยยืนงี้มั่งอะ ปกติเห็นแต่หลับยามกันอ้ะะะ T T

Internship: Day 11,12

ทั้ง 2 วันนี้ก็อารมณ์ประมาณเดิม กับการฝึกงานที่ บ.เบย์ คอมพิวติ้ง
อารมณ์ว่าเค้าไม่ได้มีพี่เลี้ยงให้เป็นพิเศษ เหมือนว่าใครมีงานที่เห็นว่าทำได้ก็เอาไปช่วยพี่ทำหน่อยละกัน
วันที่ 3 พ.ค. ก็อ่านเรื่อง firewall ต่อนิดหน่อย
เพราะว่าจากที่พี่ๆเค้าบอกว่าให้ลองอ่านเรื่อง firewall ดู
ก็เกิดความสงสัยว่า firewall ที่เรามีในเครื่องคอมนั้นเป็น software
แต่ว่าเครื่องที่พี่เค้าให้อ่านมันเป็น hardware
แล้วมันต่างกันยังไง เป็นยังไง
ก็เลยไปอ่านๆมา แล้วก็สรุปมา ไปอ่านได้ในตอนต่อไปแล้วกัน
แต่ว่าก็คร่าวๆนะ เอาว่าพอเป็นไอเดีย

แล้วตอนบ่ายก็ test web ต่อ
ไม่น่าเชื่อว่างาน testing มันต้องทำเยอะแยะขนาดนี้
ตาม test มาจะเป็นอาทิตย์แล้วเนี่ย
ยังไม่หมดเลย
เพิ่มมาเรื่อยๆเป็นลำดับ เหนื่อยแทนคนเขียนเว็บเลย
แล้วพี่ที่ดูแลอยู่ก็บอกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้จะนัดคนทำเว็บมาประชุมเลย

ในวันที่ 4 พ.ค. ก็เลยไปบ.
แต่ว่าพอไปถึง แม้จะ 9 โมงตามเวลานัดอยู่แล้วก็ยังไม่ค่อยเห็นวี่แววของฝั่งโน้นเค้าเท่าไร
ไปๆมาๆ พี่ที่ดูแลเรื่องนี้ก็มาบอกว่า น้องลอง test ดูอีกที
ทางโน้นเขาไม่มาแล้ว
อันนี้เราก็ยอมรับว่าแปลกใจจังเลย ทำงี้ได้ด้วยเหรอ
นี่คือการทำงานนะ
ทำงานได้เงินนะ
ทำไมผิดนัด?
บอกมาแล้วไม่มา
นี่ถ้าเป็นบริษัทใหญ่ๆนี่ไม่รู้จะโดนเละเทะขนาดไหนนะเนี่ย
เค้าจองห้องประชุมให้คุณแล้ว นัดคนแล้วอะไรแล้ว
ไม่มีแต่แจ้งล่วงหน้าว่าไม่มา
ไม่มาก็หายไปเฉยๆเนี่ยนะ
นี่หรือคือชีวิตการทำงาน
ถึงว่าสิ อ.แม็กซ์ที่เป็นรุ่นพี่ชุมนุมวิชาการถึงบอกว่า ชุมนุมวิชาการเป็นชุมนุมที่ดีที่สุดในม.เกษตร

ก็ test ต่อ กันไป
ให้ตายสิเจอ bug เพิ่มอีกแล้ว ยอมรับเลยว่าไม่อยากจะเจอ bug อีกแล้ว
เพราะว่าพี่เค้าจะต้องเอาระบบไป implement อยู่พรุ่งนี้มะรืนนี้แล้ว
สงสารคนทำ
สงสารมากๆเลย ต้องมานั่งหา นั่งแก้ bug หามรุ่งหามค่ำ และที่สำคัญคือ ด้วยความกดดัน
เข้าใจอารมณ์เลย
ล่อซะไม่อยากทำงานด้าน software ไปซะละซิเนี่ย

ตอนบ่ายวันนี้ก็ตรวจเอกสาร TOR (Term Of References)
ภาษาไทยก็คือ ข้อกำหนดของผู้ว่าจ้าง
ซึ่งเป็นเอกสารที่บอกถึงรายละเอียดของสิ่่งที่ลูกค้าสั่่งมา
ลูกค้าในกรณีนี้เป็นราชการนั่นเอง ก็คือเป็นเอกสารที่ทางราชการเค้าออกมาให้
เช่นพวก spec ที่ต้องใช้ในระบบ ไรแบบนี้
ซึ่งจะมีการ run เลข
สิ่งที่พี่เค้าให้ทำคือตรวจว่าเลขที่ run ของ TOR แต่ละข้อนั้น
มันตรงกับที่่เขา hi-light ไว้ในเล่มที่บอก spec ของของแต่ละอย่างหรือเปล่า
งานง่ายๆนะ แต่ล่อเอาซะมึนมาก
ขนาดเราว่าเราเป็นคนที่ทำงานเอกสารมามากพอตัวแล้วนะ
เพราะว่ามันเยอะมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
หนามากๆเลย เพิ่งเคยเห็นของจริงเนี่ยละ ตอนเรียน Enterprise นี่
อารมณ์ว่าถ้าเอามาทำจริงเนี่ย spec ของต้องเยอะขนาดนี้
ที่เรียนในห้องเป็นแค่คร่าวๆเองนะ
ยังมีอีกหลายส่วนที่เรามองข้ามๆไป
แค่เชคว่าเลขตรงกันหรือเปล่าเนี่ย ใช้เวลาตรวจไป 3 ชม.เลยทีเดียว
ออกมาจากบ.ด้วยความมึนหัวมากเลยวันนี้

พอกลับถึงบ้านเล่าให้แม่ฟัง
แม่ก็หัวเราะแล้วก็บอกว่า
"เนี่ยแหละเป็นงานที่เขาไม่อยากทำ"
555+

Wednesday, May 2, 2012

Internship: day10

วันนี้ไปถึงตอนเช้าก็ยังไม่มีไรทำตามเคย
เลยลงเอยด้วยการนั่งเม้าแบบเบาๆให้ไม่น่าเกลียด ^^"
สงสัยว่าพี่ๆเค้าเห็นว่าว่างเลยส่งงานมาให้ทำแบบ เท่าที่พอจะหามาให้ทำได้ 555

อย่างแรกก็คือ การ test web ต่อจากที่ทางโน้นเค้าแก้ bug ตามที่เราได้ report ไป
อันนี้ก็เหมือนทุกวัน อันที่จริงไม่ค่อยอยากให้เหมือนเท่าไร
เพราะว่าเหมือนทุกวันแปลว่าพบ bug เพิ่มทุกทีที่ตรวจ = ='
ดูแล้ว.. ปริมาณ bug ที่เค้าแก้ก็พอๆกับปริมาณ bug ที่พบใหม่ Orz
กลัวว่าจะมาทำให้งานพี่ๆเค้าไม่เสร็จเอาละสิน่า.. งานเร่งพอตัวเลย
แต่ก็ต้องยอมรับว่า web มันซับซ้อนจริง โยงไปโยงมากันหมด
คิดภาพตาราง database ยั้วเยี้ยใช้ได้เลย
นับถือทางคนทำ web อยู่เหมือนกัน
bug ที่เค้าแก้มาก็ถือว่าโอเคเลยล่ะ
เพียงแต่ว่าเราพบที่ใหม่บ่อยๆเท่านั้นเอง = ='
ความรู้ (ที่ได้จากการคิดเอาเอง) วันนี้เรื่อง testing ก็คือ
เวลาเรา report กลับไปว่าผลการทดสอบเป็นยังไงบ้างน่าจะทำเป็น 2 file
1.ทำเป็นตาราง อ้างอิงเลข bug จากเอกสารที่ capture หน้าจอไป แล้วบอกว่าตรวจพบการแก้ไขแล้วหรือยัง เป็นยังไง
2.เอกสารที่ระบุว่า bug ที่ยังไม่ได้แก้ไขทั้งหมด ไม่ว่าจะอันใหม่อันเก่า โดยการ capture หน้าจอตอนที่เกิดข้อผิดพลาด พร้อมคำอธิบายและมีการ run เลขข้อให้เหมือนเดิมทุกครั้ง เพื่อนำไปใช้อ้างอิงในข้อ 1 และการสื่อสารระหว่าง tester กับ webmaster
--แต่ทว่าตอนนี้ bug ทั้งหมดทะลุไปเกิน 40 แล้วจ้า...
เป็นกำลังใจให้พี่ๆแก้ได้ไวๆน่อ.. หนูก็ไม่ได้อยากจะจับผิดอะไรมากมาย T T'

และเนื่องจากว่า พี่ HR เดินมาบอกตอนเช้าว่าเดี๋ยววันที่ 8 จะให้ไปช่วยที่ TOT
เพราะวันนั้นทางบริษัทต้องไป train เรื่องการใช้งานอุปกรณ์ที่ขายให้ลูกค้า
ให้ไปช่วยลงโปรแกรม ไรงี้
ก็คงไม่ได้ทำไรมาก
แต่ที่ดีใจคือ จะได้ไปเห็นไรใหม่ๆแล้วว ^^
ไม่ต้องนั่งอยู่ใน office เฉยๆบ้างก็ดี

ดังนั้น อย่างที่สองที่ได้ทำในวันนี้ก็คือ
ไปอ่านไอ่เจ้าตัวที่ขายให้ลูกค้าไปนั่นเอง
ซึ่งก็คือเครื่อง Firewall
ชื่อว่า SonicWALL ที่ใช้สำหรับ VPN ได้นั่นเอง
มาดูความรู้ที่ได้อ่านมาในวันนี้ดีกว่า หน้าตาเจ้าเครื่องนี้ก็ประมาณนี้
***แต่ขอบอกก่อนว่าไม่ได้มีผลประโยชน์เชิงธุรกิจแต่อย่างใดนะคะ เพื่อการศึกษาเท่านั้น***

Aventail® E-Class SRA EX9000 Appliance
คือไม่ค่อยแน่ใจว่าเค้าขายรุ่นไหน ก็เลยเอารุ่น top มาให้ดูละกัน
ใครอยากดูภาพแบบ 360 องศา ก็เข้าไปดูกันได้จ้า แต่ว่าถ้าอยากดูของรุ่นนี้ต้องเลือกที่ Secure Remote Access ด้านบนก่อนนะ แล้วค่อยมาเลือก E-Class SRA EX9000 ด้านขวา

จาก website ของทางบริษัทผู้ผลิต บอกสรรพคุณไว้ว่า...
เครื่อง SonicWALL Aventail® E-Class Secure Remote Access (SRA) series นี้

  • เราสามารถ remote access เข้ามาควบคุมได้
  • รองรับได้ถึง 20,000 concurrent users/device  
  • ไม่ทำให้เพิ่ม cost ของ infrastructure และไม่เพิ่มความซับซ้อน (complexity)
  • โดย
1.ได้รับรางวัล Award-winning enterprise-scale SSL VPN
  • SSL คือ Application Protocol ที่ใช้ในการเข้ารหัส data แบบ Public Key Encryption

2.สามารถรองรับการ access ได้จากหลาย platform ไม่ว่าจะเป็น Windows®, Macintosh® หรือว่า Linux®

3.ใช้งานผ่าน smartphone หรือ tabpets ได้ ไม่ว่าจะเป็น iOS , Andriod, Symbian®, Blackberry® หรือว่า WAP browsers ก็ยังได้ด้วยนะ

4.Faster ROI, Lower TCO เพราะว่าใช้ cost น้อย แล้วก็ติดตั้งง่ายนั่นเอง
  • สั้นๆก็คือ ค่า ROI มีไว้บอกถึงความคุ้มในการลงทุน คือเอา (กำไร/ต้นทุน)*100%
  • ส่วน TCO คือมูลค่าทั้งหมดที่ต้องจ่าย ซึ่งตรงนี้จะสามารถเอามาประเมินได้ว่าจะจัดเก็บของนั้นๆยังไง จะซื้อดีรึเปล่า หรือว่าจะทำเองดี
  • สามารถดูตัวอย่างการคิด TCO (ของแต่ละที่ไม่เหมือนกัน) ได้จาก ที่นี่ จ้า

5.เพิ่ม productivity
  • เพราะว่าใช้ง่าย access ได้จากหลายที่ หลาย platform

ได้เปิดดู spec ไปนิดๆหน่อยๆก็ 6 โมงเย็นแล้ว
ได้เวลากลับบ้านจ้า

Monday, April 30, 2012

Internship: day9

ไม่น่าเชื่อว่าเพิ่งจะฝึกงานมาเป็นวันที่ 9 เท่านั้นเอง
รู้สึกเหมือนว่านั่งอยู่ใน office นี้วันละนานๆ (โดยไม่ค่อยได้สร้างประโยชน์อะไรให้พี่ๆเค้าเท่าไร = =')
ก็คงเพราะว่าพี่ๆเค้างานยุ่งละมั้ง

วันนี้มาถึงตอนเช้าก็ว่างๆเหมือนเดิม
แต่ก็มีพี่คนนึงเดินมาคุยๆนิดหน่อย
แล้วก็ถามว่าเป็นคน test web ใช่ไหม
ก็บอกว่าใช่
พี่เค้าก็เลยแนะนำมาอีกนิดนึง ว่าเวลา test web หา bug เนี่ย
ให้จัดลำดับ priority ไปด้วยเลย
ว่า bug อันไหน critical หรือเปล่า
อย่างเปิดมาเจอ red error ไรงี้ อันนี้ก็ critical
เพราะว่าจะได้บอกให้เค้าแก้ส่วนที่มัน critical ก่อน

เท่าที่คุยๆมา ทางฝั่งคนทำเว็บเค้าก็ปั่นกันไฟลนก้นอยู่พอควร
ไม่ได้ทำงานเสร็จก่อนกำหนดมากมายซักเท่าไร
ซึ่งตรงนี้อันที่จริงเราเองพอจะเดาได้
เพราะว่าผลงานเว็บออกมาเหมือนคนทำยังไม่ค่อยได้ตรวจดูเองสักเท่าไรเลย
bug ก็เลยเยอะเป็นธรรมดา
ปัญหาที่ตามมาคือ
ยิ่งแก้ bug มันจะไป bug ที่อื่นนี่ละซี่..

ก็ได้ test web ต่อไปนิดหน่อย ตามที่ทางโน้นเค้าส่งมาว่าแก้ bug ตัวไหนไปแล้วบ้าง
ก็ report กลับไป คราวนี้ไม่ได้มานั่งหา bug ,ากๆแล้วละ เดี๋ยวงานพี่เค้าจะไม่ทันเอา
เพราะคิดว่าส่วนใหญ่ที่เป็นสิ่งจำเป็นก็ได้บอกไปแล้ว
แต่ก็ยังแอบคิดไม่ได้ว่าบางจุดก็ยังคงไม่ make sense อยู่ดี
สุดท้ายก็ส่ง mail report กลับไปให้พี่ๆทีม network ได้ศัพท์ใหม่มาคำนึง
พี่เค้าส่ง mail กลับมาว่า "FYI" งงเลย ต้องหันมาเพิ่ง Google 555
มันเป็น US slang ย่อมาจาก "for your information" นั่นเอง
ท่าทางพี่เค้าอาจจะขี้เกียจพิมพ์ก็ได้นะ แบบ ไอ่พวกนี้ หา bug ได้ทุกทีสิน่า 555

หลังจากนั้นก็อ่านหนังสือ network & computer security ต่อไปอีกหน่อย
ก็ดีนะ อ่านก็รู้เรื่องละ แต่มันก็ยังขี้เกียจอ่านอยู่ดี แหะๆ
ได้รู้เรื่องการ hack มากขึ้น
อ่านแล้วก็แบบ เหนื่อยแทนนะ
คนที่ต้องมานั่งรักษาข้อมูลเนี่ย
ต้องตามกันไอ้เจ้าพวก hacker ทั้งหลาย จะไปทางไหนต้องคอยตามคอยปิดคอยกั้น
ต้องเรียนกันเป็นศาสตร์จริงจัง
ต้องมีอุปกรณ์เครื่องมือองค์ความรู้มีคนมีเงิน เยอะแยะมากมาย
เพื่อป้องกันไอ้เจ้าคนเหล่านี้
แต่ก็นั่นละ
ถึงแม้มันต้องลงทุนเยอะแยะมากมาย
มันก็ดูเหมือนจะง่ายกว่าพัฒนาจิตใจคนให้เลิกเอาของๆคนอื่นมาเป็นของเรา
โดยมีสิ่งตอบแทนอันเป็นผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นข้อแลกเปลี่ยน


Saturday, April 28, 2012

วิศวบริการ 23

วันนี้ได้กลับมาเยี่ยมโครงการวิศวบริการ 23
จัดโดยชุมนุมวิชาการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เกษตรบางเขน
สถานที่จัดก็คือภายใน ม.เกษตร บางเขนนี่ละ
จัดการเรียนการสอนใน 3 วิชาคือ Math, Physics, Chem
ให้กับนักเรียนม.ปลายจากทั่วประเทศเลย

ปีนี้เราเป็นรุ่นพี่แล้ว
กลับมาเยี่ยมโครงการเพราะว่าโครงการนี้ไม่ได้มีโอกาสมาสอน
เพราะว่าติดฝึกงานนี้เอง

วันนี้เป็นวันที่พี่ๆเค้านัดกันเพื่อมาเยี่ยมโครงการด้วย
"พี่ๆ" ในที่นี้คือ พี่ๆชุมนุมวิชาการ ที่จบๆกันไปแล้ว
วันนี้ได้อะไรเยอะมากๆ
มีความสุขมากๆด้วย

พอเรามาถึงม. ก็ปรี่เข้าไปที่ห้องชุมนุม
เจอเพื่อนๆที่เป็นทีมทำงานในรุ่นเดียวกับเรา
ซึ่งตอนนี้ก็ต้องอยู่ในฐานะทีมเคยทำงานไปซะแล้ว
พูดให้ดูดีหน่อยก็เป็นที่ปรึกษานั่นเอง ^^

ที่มันปลื้มก็คือ
เราได้กลับมาเห็นโครงการ
ซึ่งมันทำไมเหรอ?
คำตอบก็คือ
ซึ่งมันยังคงมีอยู่ ยังไม่หายไปไหน ยังคงรักกัน ยังคงปรารถนาดี ยังคงไม่หวังอะไรตอบแทน
เพราะว่า เรารู้ดีว่า กว่าจะมาเป็นวิศวบริการได้ มันเหนื่อยขนาดไหน
กล้าบอกได้เลยว่าตั้งแต่ทำกิจกรรมมา ก็ไม่น้อย
จัดวิศวบริการนี่เป็นบทบาที่เราเหนื่อยที่สุดแล้ว
ต้องติดต่อฝั่งราชการ คือมหาลัย ไม่ว่าจะเป็นอาคารสถานที่ เชิญคณบดี ไปจนถึงเรื่องขอ xerox 
ต้องติดต่อโรงเรียนทั่วประเทศ เป็นพันโรง
ต้องติดต่อผู้ปกครอง ครู นักเรียน
แล้วก็ต้องเตรียมการสอนด้วยนะ
เหนื่อยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
แต่ก็ยังจัด
เพราะอะไรนะ?
ยังหาคำตอบที่ตรงกับใจอยากจะพูดออกมาไม่ได้สักที
ทั้งๆที่เหนื่อยก็เหนื่อย เครียดก็เครียด
ปัญหาเยอะแยะ เวลาเล่นก็ลด เวลาเรียนก็ลด
เพื่อนๆตั้งหลายคนก็บอกให้ออกมาสิ
แต่ก็ยังคงจัดจนได้
ซึ่งเรารู้ดีว่า
รุ่นน้องก็ต้องเหนื่อยอย่างนี้เหมือนกัน
ยังไงก็ต้องเหนื่อย
คนที่จัดโครงการแล้วบอกว่าไม่เหนื่อย
เราว่าคือคนที่ไม่ค่อยได้เข้ามาทำจริงๆ

วันนี้ได้เห็นรุ่นน้องจัดโครงการ
แอบเดินเข้าไปดูในห้อง 0410 ที่ตึกชูชาติ กำภู
ก่อนเข้าห้องเจอบอร์ดที่ให้น้องๆโครงการมาเขียนความรู้สึดจากการทำข้อสอบ quiz


เห็นแล้วน่ารักดี ^^ อาจจะเพิ่งติด เพราะว่าเพิ่งจะ quiz ไปเมื่อวาน เลยโล่งๆอยู่
อ่านแล้วก็ขำ บางคนก็ว่ายาก บางคนก็ว่าง่าย
แต่ชอบอันนี้ อ่านแล้วอยากเดินไปถามน้องคนเขียน


ว่ามันยากขนาดพระเจ้ายังต้องจอดเลยเหรอน้อง ^^

พอเข้าไปในห้องก็เจอน้องๆกำลังเรียนเคมีกันอยู่


สอนโดยน้องไอซ์ ซึ่งเป็นน้องรุ่นทีมทำงานนี่เอง :>
ชอบตรงที่ว่า ตอนน้องเค้าสอน พอเหลือเวลาก็เล่าเรื่องให้น้องๆฟัง
เป็นเรื่องที่ฟังสนุกแต่ว่ามีข้อคิด
ข้อคิดที่สำคัญคือ อย่าประมาท
ฟังแล้วเราก็ต้องเอามาเตือนตัวเองด้วยนะ อย่าประมาท
จริง เพราะว่าการใช้ชีวิตของคนปัจจุบันนี้ ต้องบอกว่าประมาทมาก

หลังจากนั้นก็เป็นช่วง relax คือสันทนาการพอดี
ในโครงการนี้มอบหมายให้น้องๆปีหนึ่งจัดสันทนาการ
มองดูแล้วก็รู้สึกว่า น้องๆเก่งนะ
เก่งมากเลย คิดกิจกรรมมาค่อนข้างดี
เล่นแล้วน้องเล่นด้วย เล่นแล้วฮา
แต่ก็มีบางอย่างเกินไปบ้าง
อันนี้เราๆปีสามเห็นแล้วก็มาจดๆกันไว้

พอตอนประชุมประจำวัน
เราก็เอาสิ่งที่เราพบมาพูดกัน
เอาจริงๆนะไม่อยากจะทำเลย เพราะมันคือการดุน้อง คือการติน้อง แต่ว่าเราไม่ได้ประจานนะ
คุยกับเพื่อนว่าไม่อยากทำเลย มาวันเดียว มาถึงก็เหมือนมาจับผิดน้อง
ในสิ่งที่น้องตั้งใจทำ
แต่เพื่อนบอกว่า
มันก็ต้องทำนะ
จริงละ มันก็ต้องทำ ปี1 ต้องโดนเตือนบ้าง ให้เข้ารูปเข้ารอย
ก็ต้องเตือนกันแบบผู้มีการศึกษานะ
คือพูดกันด้วยเหตุด้วยผล
ไม่รู้เหมือนกันว่าน้องเค้าจะรับฟังแล้วเอาไปทำตามรึเปล่านะ
แต่อยากให้น้องๆเข้าใจจังเลย
ว่าสิ่งที่ทำมันมีผลมากนะ
ไม่ว่าจะพูดอะไร ทำอะไร
เพราะนั่นคือทำในนามของ ม.เกษตร นะ

หลังจากประชุมเสร็จก็ไปทานข้าวกัน
พี่ๆจัดหนักมากกกก 555
พาไปร้านสวยมากเลย
เล่าอะไรให้ฟังเยอะแยะ
เพื่อนๆน้องๆพี่ๆที่ไปทานข้าวกัน อันนี้แค่โต๊ะเดียวนะ มีโต๊ะอื่นอีก :]

พี่ๆบางส่วนแนะนำตัว
ไม่น่าเชื่อนะ
คงมีไม่กี่ชมรมหรอก
ที่คนทีจบไปแล้วเกือบ 20 ปีจะกลับมา
ไม่ได้กลับมาคนเดียวนะ
มากันเยอะมากเลย เกือบทุกรุ่นเลย
วันนี้ไปกินกันประมาณ 40 คนได้
มีรุ่นพี่บางคนจบไปก็ไปเป็นอาจารย์อยู่ที่ภาคเคม
อยากมีอาจารย์ที่ภาคเป็นรุ่นพี่ชุมนุมบ้างจัง ^^
เคยเกิดคำถามในใจเหมือนกันว่า
ทำไมรุ่นพี่เค้าถึงกลับมา มากมายขนาดนี้?
เพราะว่าเขารักเหรอ
หรือว่าเขาประทับใจ
อาจจะเพราะว่าเป็นความสุข
โครงการดีๆแบบนี้
ให้อะไรที่ไม่หวังผลตอบแทน
และเกิดผลกระทบในมุมกว้าง
ฟังพี่เค้าเล่าแล้วพบว่ามันเกิดผลกระทบในมุมกว้างมาก
มีผลกระทบต่อประเทศชาตินะ
ข้อนี้เราก็เคยคิดอยู่ว่า
เพราะว่าชาติจะพัฒนาได้
คนต้องพัฒนา
ทางหนึ่งที่คนจะพัฒนาคือพัฒนาการศึกษา
และสิ่งที่โครงการเราให้น้องมันมากกว่าการศึกษาในตำรา มากกว่าการให้กำลังใจในการเรียน
มันให้การเป็นตัวอย่าง
ตัวอย่างในการทำอะไรให้คนอื่นโดยไม่ได้หวังอะไรตอบแทน
อยากให้น้องๆโครงการได้ซึมซับตรงนี้ไปเหมือนกัน
เพราะความรู้เป็นเหมือนมีด
จะเอาไปทำกับข้าวก็มีข้าวกิน ดำรงชีวิต
จะเอาไปฆ่าคนคนก็ตาย ทำลายชีวิต

เคยมีเพื่อนที่ภาคคนหนึ่งถามเหมือนกันว่าชุมนุมวิชาการทำอะไร
ก็ตอบไปว่าสอนหนังสือ
เพื่อนก็บอกว่างี้รวยเลยสิ
ก็บอกไปว่าไม่ได้ตังค์
เพื่อนก็บอกมาประโยคหนึ่ง ฟังแล้วจุกเลย
"ไม่ได้ตังค์อะทำทำไม"

ไปไม่เป็นเลย ไม่รู้จะพูดยังไง 555
ฟังแล้วความรู้สึกหนึ่งที่เกิดขึ้นด้วยก็คือสงสารนะ
ว่าเขาจะไม่เคยได้รัรบความรู้สึกแบบที่เราได้เลย
ความรู้สึกที่น้องโครงการเดินมาขอบคุณ คือเสียงที่น้องพูดออกมามันคือขอบคุณจริงๆ
หรือว่าการที่น้องมาบอกว่าเข้ามหาลัยได้แล้วนะ
หรือว่าแค่การที่น้องเค้าตั้งใจฟังที่เราสอนในคาบก็ตาม

แต่จะว่าเพื่อนก็ไม่ได้
มันอยู่ที่คนคิด ความสุขของคนเราก็แตกต่างกันไป
ก็อยู่ที่มุมที่มอง

Friday, April 27, 2012

Internship: Day8

วันนี้ก็เริ่มจากการว่างงานตลอดครึ่งเช้าอีกตามเคย
แต่ก็ไม่อยากปล่อยให้ว่าง เลยนั่งหยิบหนังสือ network secure ที่พี่เค้าเคยให้มาอ่าน

Computer & Network Security  - ธวัชชัย ชมศิริ

ถ่ายออกมามุมไม่ค่อยดีเพราะต้องแอบถ่ายนิดนึง = = เดี๋ยวพี่ๆคิดว่ามาถ่ายรูปเล่นไม่ทำงาน แหะๆ
โอเคเลยนะ อ่านพอรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง
แต่จัดว่าเขียนได้อ่านง่ายเลยทีเดียวละ
ไม่ใช่หนังสือแปลด้วย ฉะนั้นภาษาจะเข้าใจง่ายกว่า
คิดว่าถ้าใครเรียนวิชา Computer network มาแล้ว ก็น่าจะเข้าใจได้ไม่ยากเลย
ก็เลยลองสรุปคร่าวๆตามความเข้าใจ จากเท่าที่อ่านแล้วคิดว่าน่าสนใจ
รวมกับหาข้อมูลในเว็บอื่นๆ มาให้ลองคิดเล่นๆกัน
ใครสนใจแบบเต็มๆ ก็ไปหาซื้อมาอ่านกันได้เลย :]

เปิดมาก็เหมือนเป็นบท intro ก่อน เช่นว่า เราต้องรักษาความปลอกภัยเนี่ย มอง 4 ด้านคือ

  1. ผู้ไม่หวังดีเข้าไปใช้คอมเครื่องนั้นเลย
  2. การลอบเข้าถึงเครื่อง server ด้วยวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเดา password การ remote ไปจนถึงการใช้พวก ARP, ICMP, TCP อะไรพวกนี้ ซึ่งเรียกว่าวิธี DoS สารพัดจะสรรหาทางเจาะเข้าไปกันละน่อ..
  3. ทางระบบ network เช่นพวก แปลง MAC หรือทำ ARP spoof
  4. ทางด้านข้อมูล ก็คือต้องรักษาตัว DB server นั่นเอง แล้วก็ข้อมูลเกี่ยวกับระบบและอุปกรณ์ nw ต้องเป็นความลับพอควร

ต่อมาก็เรื่องของการปิดช่องโหว่ ว่าเราต้องสนใจช่องโหว่ของอะไรบ้าง

  1. ของเครื่อง server เช่นการปิด port ที่ไม่ใช้ หรือใช้ anti-virus
  2. ของระบบ LAN อันนี้เค้าบอกว่าให้ใช้ switch ที่ทำ filter ของตัว MAC addr, IP ได้ ซึ่งตรงนี้จะป้องกัน man in the middle (หรือดูจาก wiki) ได้
  3. ของ wireless คือต้องมีการเข้ารหัสด้วย WPA
  4. ของ web app มีหลายอย่าง เช่น การใช้ https แทน http
  5. ของด้านนโยบาย เช่น การกำหนดความยาวและความยากของ password อะไรแบบนี้
เอาไว้น้ำจิ้มๆเท่านี้ก่อนเรื่องวิชาการตามตำรา เดี๋ยวจะหลับกันหมด 555+

สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการไปฝึกงานวันนี้อีกอย่างคือ ใช้ MS Excel เก่งขึ้นนิดนึง ><
เพราะว่าเพื่อนที่ไปด้วยกันมีงานที่ต้องใช้ แล้วติดปัญหาตรงจุดที่เราเองก็เคยติดเหมือนกัน
เลยลอง search google จนได้มา

นั่นก็คือเรื่องของการ merge cell โดยที่ทั้ง 2 cell (หรือมากกว่า) นั้นมีข้อมูลอยู่
แต่ว่าเราต้องการ merge โดยที่ข้อมูลไม่หาย
เช่น ช่องติดกันคือ A3 กับ B3 มีข้อมูลว่า 123 และ 456 ตามลำดับ
เราต้องการ merge โดยรวมเป็น cell เดียวที่มีข้อมูลว่า 123456
แน่นอนว่าถ้าเรากดปุ่ม merge&center ที่มีให้นั้น มันจะเหลืออยู่เพียงข้อมูลช่องเดียว
วิธีการทำก็คือสร้าง column ใหม่แล้วต้องเขียน code ซึ่งง่ายมาก นั่นคือ
=A3&B3
เท่านี้ก็จะได้ช่องใหม่ที่มีข้อมูล 123456 ตามสบาย

แต่ว่าถ้าต้องการ 123 456 ละจะทำยังไง?
ไม่ยากๆ การทำก็คือ
=CONCATENATE(A3," ",B3)

เท่านี้ก็จบ เพิ่งรู้วันนี้เองว่า Excel มี concat ให้ใช้ด้วย
เป็นโปรแกรมครองโลกจริงๆเลย ซึ่งรู้สึกว่าเพื่อนๆในแวดวง programming จะมองข้ามไป

ซึ่งหลังจากทานข้าวเที่ยงเสร็จ
ขึ้นมาที่ office ก็มีพี่ HR ตามไปรับโทรศัพท์พี่ที่ให้ test web
พี่เค้าบอกว่าให้ test web ต่อเพราะว่าเมื่อวานส่ง report ที่ทำไปให้คนเขียนเว็บแล้ว
เค้าแก้มาให้แล้วบางข้อ
ก็เลยมาตรวจ bug ต่อในตอนบ่าย ลองดูว่าข้อที่เค้าแก้แล้วนั้นโอเคแล้วหรือยัง
แล้วก็เจอ bug ใหม่อีก 3 ตัวด้วย

ตรงนี้เราเห็นอะไร? ตรงนี้เราเห็นการทำงาน การตามงานของพี่ๆเค้าอยู่เหมือนกันนะ
ไม่ดองเหมือนทำงานกับเพื่อนๆที่มหาลัย
เค้าโทรมาว่าแก้แล้วก็โทรมาบอกเราเลยว่าให้ test ไรแบบนี้
แล้วก็ไม่เชื่อไปเลย (<--นี่มันกาลามสูตรนี่) 
ไม่เชื่อไปเลยว่าโอเค คุณแก้แล้วนะ ไรงี้
ถ้าเป็นเรา ทางโน้นบอกมาว่าแก้แล้ว ก็คงจบใช่ไหม
แต่ว่าอันนี้เค้าไม่ไว้ใจ ต้อง test ด้วยนะ

โอยไม่ไหวละวันนี้กระจัดกระจาย ตอนนี้ก็ง่วงมากๆเพราะว่าตอนเย็นไปเยี่ยมน้องๆชุมนุมวิชาการที่กำลังจัดโครงการวิศวบริการ 23 กันอยู่ คิดถึงโครงการมากๆ ^^

Thursday, April 26, 2012

Internship: Day7


วันนี้ก็วันที่ 7 แล้วกับการฝึกงานที่ baycoms
งานวันนี้ไม่ได้มีอะไรใหม่ แต่ว่าทำงานต่อเนื่องจากเมื่อวาน
นั่นก็คืองาน testing web นั่นเอง
อันที่จริงมันก็ไม่ได้ยากอะไร
มันก็เหมือนการ test งานเขียนเว็บก่อนส่งอาจารย์
ตามวิชาต่างๆที่ได้เรียนไปนั่นแหละ
แต่มันต่างกันที่ความรู้สึกมากกว่า
เพราะว่าอันนี้ไม่ใช่งานแล้ว ไม่ใช่การบ้าน
แต่ว่าเป็นงานจริงๆ เป็นเว็บไซต์ที่เค้าจะเอาไปใช้จริงๆนะ
ตำรวจเค้าจะเอาไปใช้จริง
ช่วยเหลือคนจริงๆ
ถ้าระบบไม่ดี ก็จะมีคนเดือดร้อนนะ
ถ้าระบบดี จะได้ไม่เป็นตัวถ่วงการทำงานของทางตำรวจ
เค้าจะได้เอาไปช่วยคนอื่นได้
มันต่างกันที่ความรู้สึกตรงนี้เอง :]
ก็เลย test กันใหญ่เลย

อาจจะเป็นเพราะว่าเมื่อวานมีงานเอกสารด้วย
แถมพี่เค้าเอางาน test web มาให้ทำตอนบ่ายด้วย
แถมไฟในห้องที่นั่งทำเมื่อวานก็เป็นไฟสีส้ม --Romantic ซะ
..ซะง่วงเลยทีเดียว 555
เมื่อวานก็ลืมเอาบรรยากาศห้องประชุมที่พี่เค้าอธิบายการ testing ให้ฟัง
เป็นห้องที่เค้าให้เรานั่งทำงานเมื่อวานล่ะ วันนี้เลยเอามาลงซะหน่อย



ส่วนวันนี้มาทำตอนเช้า ตอนแรกคุยกับเพื่อนๆก็เหมือนว่า จะไม่ test ต่อแล้ว
เพียงแต่เอาสิ่งที่แต่ละคนได้มารวมๆกันแล้วส่งให้พี่เค้าเลย
ซึ่งเราเป็นคนรวม
ไปๆมาๆ กลายเป็นหา bug ต่อซะงั้น
ก็สนุกดีนะ
สรุปว่าหา bug ต่อตลอดครึ่งเช้าเลย

ตอนเที่ยงก็มีกลุ่มพี่ๆ HR ชวนไปทานข้าวที่เซ็นแจ้ง
แต่เนื่องจากเป็นปลายเดือน ก็เลยคิดว่าเดี๋ยวค่อยไปต้นเดือนไรงี้ดีกว่านะ 555
ก็เลยไปทานข้าวโรงอาหารที่ใต้ตึกตามปกติแทน

ตอนบ่ายพอเข้ามาเราก็จัดแจงรวม bug ใน web ที่ทั้ง 3 คนเจอ
มึนมากก 555
อย่างหนึ่งที่อยากให้จำไว้สำหรับ tester มือใหม่ก็คือ
แน่นอนว่าการแยกกันหา bug คนละหน้า web หรือว่าแบ่งส่วนกันหาเนี่ย
อาจจะไม่ค่อย work ก็ได้นะ
เพราะว่าคนเดียวอาจจะไม่สามารถเจอ bug ที่ครอบคลุมทุกจุดได้
เราเลยใช้มาตรการช่วยกันหาแล้วกัน
ปัญหาจึงยังเกิดเอาตอนรวมนี่เอง

ขออธิบาย format ที่พี่เค้าให้ทำก่อนก็คือ
ให้ลองเล่น web จนเจอจุดบกพร่อง
แล้ว capture หน้าจอ
พร้อมเขียนปัญหาไว้ เอกสารทำบน MS Word
ประมาณนี้



เพื่อที่ว่าพี่เค้าจะได้เอาไปส่งให้คนที่พี่เค้าจ้างเขียนเว็บนี้ได้อ่าน
แล้วจะได้ตอบกลับมาและแก้ไขได้

ที่แน่ๆคืออย่าลืมลอง test บน browser ต่างๆด้วย
ซึ่งพวกเราที่อยู่ในแวดวง IT ส่วนใหญ่ก็ใช้ firefox ไม่ก็ chrome กัน
แต่ก็ต้องอย่าลืมว่า คนอื่นๆๆๆๆๆๆ เค้ายังใช้ IE กันอยู่นะ
ดีไม่ดี IE6 ด้วยนะ =*=
โชคดีอีกหน่อยที่มีเพื่อนใช้เครื่อง Mac เลยได้ลอง test บน safari ด้วยเลย ไม่ต้องหามาลงใหม่

ส่วนเรื่องง่ายๆที่ไม่ควรมองข้ามเลยในเวลาช่วยกัน test ก็คือ
run เลขของแต่ละคนมาเลย ว่าเป็น bug อันที่เท่าไรที่เจอ
เจอแล้วก็บอกๆกันด้วยจะได้ไม่ต้อง test ซ้ำๆ เสียเวลานั่ง capture ภาพ นั่งพิมพ์ report
แล้วก็อย่าลืมเขียนด้วยละ ว่าเจอ bug นั้น ในหน้าไหน เข้าไปยังไง ต้องกดอะไร
ไม่งั้นงงแน่ๆ
โดยเฉพาะ web ที่เนื้อหาเยอะๆอย่าง web ที่ได้รับมานี้
เท่าที่ดูๆ ความยากของการเขียน web นี้อยู่ที่การทำ database อยู่เหมือนกัน
ท่าทางน่าจะมีหลาย table เอาเรื่องอยู่
bug ก็ไม่ใช่น้อยๆเลย

ตอนเอามารวมสุดท้ายได้ประมาณ 30 กว่าข้อแน่ะ

พี่เค้าเข้ามาดูตอนเย็น ก็บอกว่า ดีมาก ละเอียดดี
ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าละเอียดไปรึเปล่า
อันที่จริง test ไปก็สงสารคนเขียน web อยู่เหมือนกันนะ
เค้าคงแอบด่าเราอยู่ในใจเหมือนกัน
จะละเอียดไปรึเปล่าเนี่ย

แต่ว่าก็มันเป็น bug จริงๆนะ
เจอ bug ก็ไม่ควรปล่อยไปละน่อ~~

Wednesday, April 25, 2012

Internship :Day6

วันนี้เป็นวันที่นับว่าสนุกดี :]
เริ่มจากการที่ตอนเช้า ไปถึงบริษัทสักพัก ก็มีพี่คนนึง
(คนเดียวกับที่เคยมาพูดเรื่อง cer ให้ฟัง)
พี่เค้ามองๆ แล้วก็หายเข้าไป ออกมาจากห้องพร้อมกับหนังสือเล่มนึง
ชื่อว่า Computer & Network Security
อ่านไปนิดหน่อยละ ว่างๆจะจดมาเล่าให้ฟัง

แล้วงานแรกก็มา
คล้ายๆเดิมแหละ เป็นงานเอกสาร
แต่ว่าคราวนี้มาเป็น spec ของของอีก project หนึ่ง
project ที่แล้ว บริษัททำให้ทหาร ต้องบอกว่า spec โหดมากกกก หรูสุดๆๆๆ
พี่คนนี้เค้าก็เล่าว่า พวกอุปกรณ์เทคโนโลยีของทหารของเมืองไทยนี่
หรูนะ ระดับน้องๆต่างประเทศเลย
ฟังแล้วก็อุ่นใจน่อ.. ความมั่นคงของชาติ ^^

ส่วนวันนี้เป็น spec ของตำรวจแทน
เป็นระบบ call center ของตำรวจ เพื่อให้บริการแก่ประชาชน :]
ที่นี่เค้าเรียกย่อๆกันว่า project 191
พี่เค้าก็เล่าว่าเรื่อง spec ของฝั่งตำรวจนี่จะไม่ได้หรูเหมือนทหาร
ติดจะโบราณหน่อยๆด้วยซ้ำ ^^"
ก็เท่าที่อ่าน spec ของดู ก็ตามนั้นแหละ
ไม่ได้หรูหราเหมือนของฝั่งทหาร
แต่ถ้ามองว่ามันก็เพียงพอต่อการใช้งาน
ใช้ของตามวัตถุประสงค์ตามที่ต้องการ
ก็น่าจะดีแล้ว
คำว่าดีในโลกใบนี้ มันก็น่าจะเป็นคำย่อของคำว่า พอดี ไม่ใช่หรือ?

ก็นั่งตรวจเอกสารไปจนเที่ยง
พอกลับมาจากทานข้าว
ก็มีพี่อีกคนนึงมาให้งาน
คือให้มาเป็น tester
ช่วยกัน test หา bug ใน web ที่ไปจ้างคนอื่นทำมา
project 191 นี่แหละ ทาง BAY comp. ไปจ้างคนอื่นเขียนเว็บ
เอาจริงๆนะ เปิดดูแล้ว
เพื่อนๆเราทำได้เลยอะ
ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย โดยเฉพาะเรื่อง UI นี่ เพื่อนๆเราโหดๆกันก็เยอะ
แต่ว่าโปรเจคนี้มันใหญ่ เท่านั้นเอง แต่ละส่วนมัน link กันเยอะ
แต่ว่ามันไม่ได้ยากแบบ โห ย๊ากยาก
(ที่พูดเนี่ย ก็ไม่ใช่ทำเป็นทั้งหมดอะนะ แต่พอนึกออกว่าต้องทำไง แล้วมันก็ไม่น่ายาก)

หน้าตา website ที่ได้ทำการ testing วันนี้

ก็ได้รู้หลักการ testing มาหน่อยๆ ก็คือ
ให้เราเป็น user ในฐานะต่างๆ
เข้าไปลองทำโน่นทำนี่ ว่าทำได้ไหม
เวลา add คนเพิ่ม กรอกประวัติ ไม่ครบแล้วระบบรับหรือเปล่า
มีอะไรพิมพ์ผิดหรือเปล่า
ใช้งานได้จริงหรือเปล่า
พอกดสั่งงาน คนนี้ออกไปกับรถคันนี้
รถคันนั้นอีกที่หนึ่งจะต้องขึ้นว่าไม่ว่างให้ใช้งานแล้ว
ขึ้่นหรือเปล่า อะไรทำนองนี้

ก็โอเคนะ สนุกดีเหมือนกัน
ใส่โน่นใส่นี่ ได้รู้ spec ของ hardware ที่เค้าจะเอาไป implement 
แล้วก็ยังได้รู้ระบบที่จะเอาไปใช้ในเชิง software ด้วย
ถึงแม้จะไม่ได้ลงมือจับจริง
ก็นับว่าโอเคละ เค้าคงไม่ให้เราไปจับหรอกเนอะ 555+

แล้วก่อนกลับวันนี้ก็ไปถามพี่ HR เรื่องไป site
ฟังดูแล้ว
คงไม่ได้ไปแล้วแหละ แอบเสียใจนะเนี่ย ฮือ!

Tuesday, April 24, 2012

Internship: Day4,5

เมื่อวานเหนื่อยเกินไปหน่อยเลยไม่ว่างมาเขียน blog
กลับถึงบ้านทานข้าวอาบน้ำแล้วก็ตายทันที
เพราะว่านอกจากจะเลิกงานเย็นกว่าเดิมครึ่งชั่วโมงคือจาก 6 โมงเป็น 6.30 แล้ว
ยังได้กลับไปที่ม.เกษตร ตอนประมาณ 4 ทุ่มครึ่ง
เพื่อเอาขนมไปให้สมาชิกชุมนุมวิชาการที่กำลังจัดโครงการกันอยู่ในตอนนี้ด้วย
ประทับใจคำพูดของพ่อคำหนึ่งคือ




"ไม่เป็นไรหรอก ซื้อให้น้องๆกินกัน
เพราะว่าจัดโครงการก็ไม่ได้ได้อะไร มีของกินอร่อยๆหน่อยก็ดี"
ฟังแล้ว โห.. หล่อเลยพ่อ ^^

เดินทางก็แอบเหนื่่อย แต่ว่าดีใจมากๆที่เห็นคนเต็มห้องเลย
คิดถึงโครงการมากๆ ว่างเมื่อไรคงต้องจัดเต็มสักวัน


พล่ามมานาน เริ่มที่เรื่องของการฝึกงานดีกว่า
ทั้ง 2 วันนี้ งานที่ได้รับมาคืองานเอกสาร
งานแรกคือ เรื่องของการแบ่งระดับของบุคลากรในองค์กร
เหมือนเป็นมาตรฐานในแต่ละด้านของคนเรา
เช่น ทักษะการปรับตัว ทักษะการใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์
ทักษะการนำเสนอ ทักษะการสอนคนอื่น
แต่ละด้านแบ่งเป็น 5 ระดับ
สิ่งที่พิมพ์คือ แต่ละระดับของแต่ละด้านนั้น
บุคคลคนนั้นต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง
ซึ่งเป็นงาน HR
และซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับวิศวะคอมเลย 555
ก็ยอมรับว่าเบื่อๆนิดหน่อยเหมือนกัน นั่งพิมพ์เอกสารเกือบทั้งวันเลยทีเดียว
แต่ก็ได้รู้เรื่องของทักษะการทำงานในบริษัท
คือตรงนี้ทำให้เราได้เห็นชัดมากว่า การทำงานนั้น สิ่งที่สำคัญมากกว่าความเก่ง
คือการทำงานร่วมกับผู้อื่น
เพราะงานใหญ่
ทำคนเดียวไม่ได้แน่นอน
ซึ่งไม่รู้ว่าเข้าข้างตัวเองหรือเปล่า
แต่ก็รู้สึกว่าทักษะนี้เราก็พอมีอยู่บ้าง ในระดับที่น่าจะโอเค
แต่เรื่องความเก่งในด้านวิชาการอันนี้ไม่รู้แฮะ แต่ที่แน่ๆคือไม่ได้หรูหราอะไร

ต่อมาอีกวันนึง เอกสารที่ได้ทำคือเอกสารเดิมที่เคยตรวจไป คราวนี้ให้เอามาแก้ในคอม
อันนี้เกี่ยวกับวิศวะคอมเข้ามาหน่อย 555
คือเอกสารการสั่งซื้อของ เพื่อนำไป implement
อย่างที่เค้าโฆษณาว่า BAY comp. เป็น one stop service
คือสั่งซื้อให้ด้วย แถม implement ให้อีก
เอกสารที่พิมพ์ก็จะเป็น spec ของระบบทั้งหมด
ที่ว่าเหมือนเรียนในวิชา Enterprise Application Architecture นั่นแหละ
คือเหมือนโครงการนี้นี่สร้างระบบใหม่หมดเลย
มีทั้ง spec ของ เครื่อง server, database server , TV, UPS, กล้องวงจรปิด,
เครื่อง scan ลายนิ้วมือ (เรียกภาษาสวยๆว่า ระบบ Access control),
ระบบเสียง, จอภาพ, VM ฯลฯ
ดีตรงที่ว่าได้รู้ spec ของสิ่งต่างๆเหล่านี้ ว่าเค้าดูอะไรกันบ้าง

ก่อนกลับบ้านมีพี่ที่ทำงานมาคุยเรื่องของ certificate ด้วย
ว่า cer นี้มันมีอยู่หลายค่าย
ถ้าที่เราคุ้นๆกันดีก็คือ cer ของ cisco ก็คือบรรดา CCNA, CCNP, CCIE ทั้งหลาย
อันนี้ก็คือเป็นทางด้าน network ซึ่งพี่เค้าบอกให้เตรียมไว้
พื้นฐานก็คือ CCNA


ส่วนอีกตัวหนึ่งก็จะเป็น security คือ CompTIA security


ว่าแล้วพี่ HR ที่อยู่ตรงนั้นด้วยก็ให้แนวข้อสอบ CompTIA มาคนละแผ่น

แต่ว่าถ้าเป็นทางด้านของ system เนี่ย
ก็จะให้ฝึกใช้พวก Linux

พี่เค้าแอบบอกมาว่า หลายๆสถาบันไปสอน windows
พี่เค้าว่ามันไร้สาระ เพราะจากที่เรียนบรรดาวิชา OS มานั่นแหละ
อันนี้นับว่าเป็นโชคดีที่ม.เกษตรเน้น Linux
พี่เค้ารู้เลยนะว่า ถ้ามาจากเกษตรเนี่ย Linux ได้แน่ (นั่น ลอยแทนอาจารย์เลย 555)

เอาว่า 2 วันนี้ก็รู้อะไรเพิ่มขึ้นนิดๆหน่อยๆละมั้ง
แต่ที่ได้มากกว่าความรู้เชิงคอมๆก็คือ
บรรยากาศในการทำงาน
เป็นพนักงาน
เป็นมนุษย์เงินเดือน
มีป้ายห้อยคอ
เข้างานตรงเวลา
เลิกงานตามเวลา
ก็ยังคงไม่รู้ว่าอนาคตจะต้องทำงานเทือกๆนี้จริงๆรึเปล่า



Friday, April 20, 2012

Internship: Day3

วันนี้ก็ปาเข้าไปวันที่ 3 แล้ว กับการมาฝึกงานที่ BAY computing
เอาตามตรงก็คือไม่ได้ทำอะไรมากมาย แต่ก็เข้าใจว่าเป็นเรื่องธรรมดา หลายๆที่ก็เป็นแบบนี้ กับเรื่องของการฝึกงาน

งานในวันนี้ก็ได้รับมาเป็นงานเอกสาร
คือไปช่วยพี่เค้าตรวจสอบเอกสารที่พิมพ์ใหม่ ว่าตรงกับต้นฉบับหรือเปล่า
พอดีว่าอันนี้เป็นความชำนาญส่วนตัว เนื่องจากทำงานกับชุมนุมวิชาการมาก่อน
เรื่องเอกสารจึงค่อนข้างทำมามากพอตัว
นั่นก็คือโดนซัดกลับมาเยอะพอตัวนั่นเอง = ='
จึงพอจะรู้อยู่เหมือนกันว่าปกติเค้าจะพิมพ์ผิดกันตรงไหน
ก็เลยสบายหน่อยนึง
แต่ว่าหลักๆก็คือได้รู้เรื่องของ spec กับการสั่งของ
ว่าต้องดูแลรับผิดชอบในเรื่องอะไรบ้าง
ต้องสั่ง requirement อะไรบ้างไม่ให้เค้าโกงเราได้
สนุกดีเหมือนกันนะ แต่ว่ามันมีนิดเดียวเอง
ยังดูไม่หายอยากรู้เลย :]
จะต้องดูแล คือต้องมีการสั่ง requirement ออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร
นั่นคือจะต้องสามารถตรวจสอบได้ทั้งสิ้น จะมาเบี้ยวกันไม่ได้
ตั้งแต่เรื่องของการสั่งของจากบริษัทผู้ผลิต ว่าจะต้องมีของครบตามมาตรฐานของชิ้นๆนั้น หรือระบบนั้น
แม้ว่าเราจะไม่ได้ระบุเป็นลายลักษณ์อักษรว่าเราไม่ได้สั่ง
ไม่ใช่ว่า เราไม่ส่ง ก็ไม่เอามาให้เราด้วย ทั้งๆที่ตามมาตรฐานแล้วจะต้องมีเหมือนกัน
นั่นก็ืคือเราไม่จำเป็นต้องเขียนของครบเป๊ะทุกชิ้นก็ต้องได้ของครบทุกชิ้นนั้นเอง

ต่อมาก็ดูเรื่องของ spec
ซึ่งเพิ่งจะรู้วันนี้เองว่าเวลาเราพูดว่าสเปกเครื่องนั้น ภาษาทางการเค้าใช้คำว่า "คุณลักษณะเฉพาะ" กัน
จำได้ว่าตอนทำเอกสารวิชา software engineering นี่ไม่รู้จะใช้คำว่าไรดี
ก็เลยทับศัพท์ไปดื้อๆซะอย่างนั้น
ที่ว่าดูแลก็คือจะต้องมีการตรวจสอบว่า spec นั้นเป็นอย่างไรบ้าง
ไม่ใช่แค่ตัว PC หรือ server แต่ว่าต้องทำทุกอย่างเลย
ไม่ว่าจะเป็นหลอดไฟที่มีลักษณะของการประมวลผลเข้าไปจัดการ
หรือว่าเครื่อง scan ลายนิ้วมือของพนักงาน
หรือว่าจะเป็น UPS ก็ตาม

ดูแลไปจนถึงการบรรจุหีบห่อ
ว่าจะต้องมีระบบการบรรจุหีบห่อ และขนส่ง รวมไปจนถึงการติดตั้งให้ลูกค้าได้อย่างมีมาตรฐานนะ
ไม่ใช่ว่าเค้าซื้อ เราก็หาให้ แต่ว่าส่งไปแบบธรรมดาๆ
งี้ของก็พังหมดพอดี

และเรื่องของการรับประกัน
ว่าของแต่ละอย่างต้องรับประกันไม่น้อยกว่ากี่ปีๆ
ส่วนมากก็จะเป็น 2 ปี

วิชาที่เรียนแล้วผุดขึ้นมาในหัววันนี้ก็เยอะอยู่
มากๆก็เห็นจะเป็น Enterprise Application Architecture ละ
คิดว่าถ้าไม่เรียนวิชานี้มาละก็คงไม่ได้ประโยชน์จากการนั่งตรวจเอกสาร spec ของเท่านี้ :]

เวลาที่เหลือก็นั่งอ่านเอกสารที่พี่เค้าให้มาอ่านเล่น
เน้นว่า "อ่านเล่น"
แต่ยื่นมาให้เป็นเอกสารของของที่ขายให้ลูกเค้าชิ้นนึง
เล่มก็บางๆนะ...

RSA enVision essentials (student guide)

600 หน้าเอง ภาษาก็ อังกฤษเอง จิ๊บๆ (ซีด 555)
ก็ไม่ได้โหดร้ายอะไรขนาดนั้นหรอก สนุกดีนะ
อันนี้ทำให้นึกถึงเอกสาร user manual ในวิชา Software Engineering อย่างบอกไม่ถูก
จริงๆไม่ได้เป็น user manual หรอกเล่มนี้ แต่ว่าก็มีส่วนคล้ายอยู่เหมือนกัน
แต่ว่าพออ่านกับเพื่อนๆไปได้ 48 หน้า อีก 2 หน่อก็หมดความอดทน
เหลือเรานั่งอ่านอยู่คนเดียวไปประมาณ 140 หน้า
แล้วก็ปิดหนังสือด้วยความไม่สามารถรับอะไรได้อีกแล้ว 555
มานั่งเปิดดู spec กล้องวงจรปิดกับอ่านบทความเรื่องหุ่นยนต์ในนิตรสารต่อ

พี่ HR เค้าก็ดูจะสงสารนะ ถามบ่อยๆว่าเบื่อไหม
พี่เค้าก็ไม่ได้เป็น engineer ก็คงไม่สามารถ assign งานอะไรให้ได้
พี่ที่เป็น engineer ก็ดูยุ่งมากกกกกก
ก็เข้าใจแหละ :]

อันนี้เป็นเรื่องระบบของแต่ละบริษัทจะจัดการแล้วละ
ว่ามีนโยบายเรื่องของการรับเด็กฝึกงานอย่างไร
ได้คุยกันระหว่างคนรับเด็กมาฝึก กับคนให้งานจริงๆมากน้อยแค่ไหน
มองเห็นว่าตรงนี้เป็นเรื่องของโอกาสหรือไม่
หรือมองเป็นอุปสรรค
หรือมองเป็นการศึกษา
หรือมองเป็นการสร้างภาพลักษณ์
หรือเป็นการโฆษณา
หรือเป็นการช่วยเหลือผู้อื่น
หรือว่าไม่ได้คิดไรเลย
นานาจิตตัง
เราก็ไม่มีทางรู้ได้ว่าเค้ามองว่าเป็นอะไร
ก็ไม่มีถูกไม่มีผิดนั่นแหละ

เป็นอีกวันหนึ่งที่ได้นั่งลงแล้วคิด

Thursday, April 19, 2012

Internship: Day2

วันนี้เป็นวันที่ 2 แล้วสำหรับการเข้าฝึกงาน
บริษัท BAY computing ที่ Jasmine international tower

การเดินทางในวันนี้ลองเปลี่ยนมาก็คือ
นั่งรถเมล์สาย 104 มาจาก The Mall งามวงศ์วาน ลงที่ห้าแยกปากเกร็ด
ข้ามฝั่ง แล้วต่อรถเมล์ 166 มาลงแถวตึกจัสมิน แล้วข้ามฝั่งมา
แต่เทียบดูแล้ว การมาจากทางเลียบคลองประปาดูท่าจะติดน้อยกว่า
เพราะทางนี้ดันไปเจ๊อะแยกแครายเข้านั่นเอง ก็ติดยาวกันไปหน่อย
เพียงแต่ว่าถ้าไปทางเลียบคลองประปานี่ไม่มีรถเมล์ไป ต้องนั่งแทกซี่ไปเอง

วันนี้มาถึงก็เกิดอาการหิวโซ เพราะมาทานข้าวที่บ. ปกติจะทานที่บ้านเลย
แต่ก็ยังมาถึงทันเวลาแบบสบายๆ เพราะออก 7 โมง
มาถึงก็ประมาณ 8 โมงนิดๆ มีเวลาซื้อข้าวกินแบบชิวๆ

พอเข้างาน 9 โมงก็ได้เจอกับพี่ที่เป็น network manager เลยวันนี้
พี่เค้าก็ดูๆประวัติเราทั้ง 3 คน พอพี่ HR ถามว่า ให้น้องทำ pretest เลยไหม
พี่ network manager ก็บอกประมาณว่า
โอ้ย ไม่ต้องหรอก ระดับนี้แล้ว
น่านนนน ลอยเลย (ว่าแต่ว่าระดับนี้นี่ระดับไหนก็ไม่รู้เหมือนกันนะ 555)

แล้วก็ให้งานเล็กๆมาทำงานหนึ่ง เรื่องมันมีอยู่ว่า
พี่เค้าใช้ application ตัวนึงที่ใช้งาน SIP protocol ชื่อว่า Acrobits Softphone

Acrobits Softphone - SIP phone for VoIP calls
ใครสนใจก็เข้าไปหาโหลดกันได้ มีทั้งบน iOS และ Android

อธิบายกันก่อน 
(อันที่จริงผู้เขียนเองก็เพิ่งจะรู้จักมันเอาเมื่อเช้านี้เท่านั้น
ขออธิบายตามแบบที่เข้าใจพอคร่าวๆแล้วกัน)
ก็คือ
เวลาเราอยู่ในองค์กรเนี่ย เราสามารถใช้เบอร์ภายในโทรหากันได้
แต่ว่าจะใช้ไม่ได้เมื่อเราออกมานอกองค์กรแล้ว
ตรงนี้แหละที่ Application เข้ามาช่วยให้เรายังสามารถใช้เบอร์ภายในได้อยู่
แม้จะออกมาข้างนอก
ซึ่ง app เหล่านี้ก็ต้องใช้ SIP protocol ซึ่งเป็น protocol ในชั้น application ในการสื่อสาร
การใช้งานก็เหมือนกับการคุยกันผ่าน internet หรือว่า VoIP นั่นเอง

ปัญหาก็คือเรื่องของ สายซ้อน
ซึ่งถ้าใช้บน Android นั้นจะไม่มีปัญหาอะไร
คือถ้าเราใช้ SIP คุยกันอยู่ แล้วมีคนอื่นโทรมาหาเรา
android จะให้ user เลือกได้ว่าจะ call waiting สายซ้อน
แล้วคุยต่อกับสายที่คุยไว้แต่เดิมได้
แต่ว่าใช้ไม่ได้พอมารันบน iphone
คือบน iphone นั้น user จำเป็นจะต้องตอบสนอง
ว่าจะ accept หรือ decline สายที่โทรเข้ามาทีหลังอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น
ไม่สามารถคุยต่อกับสายที่คุยไว้แต่เดิมได้
ตรงนี้ที่พี่เค้าอยากให้หา solution มาให้หน่อย เพราะว่าพี่เค้าลองอยู่นานแล้ว

เราสามหัวหลังจากได้รับปัญหามาก็สุมหัวกัน
หาๆๆ ลองๆๆ กับ app VoIP  อื่นๆเท่าที่จะลองได้
ก็คือได้ลองกับ LINE กับ Skype ระหว่าง android กับ iphone
แล้วก็ได้ข้อสรุปออกมาตามที่เข้าใจกันว่า
เป็นปัญหาที่สองส่วนคือ OS และ Application
แต่ว่าสามารถแก้ปัญหานี้ได้ด้วยการใช้ application ที่ support call waiting feature
ซึ่งเท่าที่หาๆดูก็จะมี Groundwire Application

Groundwire - Business Caliber SIP phone

ซึ่งก็ผลิตโดย Acrobits เจ้าเดิมนั่นเอง
ส่วนว่า  2 app มันต่างกันยังไง เข้าไปดูตารางเปรียบเทียบได้ตาม link นี้เลย
จะอยู่ด้านล่างๆ อ่านง่ายดี
สังเกตว่าจะเจ้า app นี้มันจะ support call waiting feature ด้วย
แต่ว่าจะต้องทำการ setting ก่อน ตาม youtube นี้เลย
ผลที่ได้ก็จะดูดีมีชาติตระกูล ตาม youtube นี้

ถ้าอ่านๆดูอาจจะเหมือนไม่มีอะไรแต่ก็หาอยู่ประมาณ 3 ชั่วโมงเลยทีเดียว ^^
เป็นงานแรกเล็กๆง่ายๆที่ผ่านไปได้ด้วยดี (มั้ง)
ที่ผ่านไปได้ด้วยดีเพราะว่ามีเพื่อนช่วยๆกันด้วยแหละ
หวังว่าจะสามารถใช้ได้จริงและจะช่วยเหลือพี่เค้าได้จริงๆบ้าง
ยังไม่รู้เหมือนกันว่าที่ต้องไปออก site งานคนเดียวนี่จะไหวรึเปล่าน่อออ